ปากคำ‘ชูวิทย์’ปะทะดินแดงยันเสียงปืนไม่ได้มาจากฝั่งตร. ชี้รุนแรงเพื่อปูทางพิเศษสู่อำนาจบางกลุ่ม




ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ โพสต์บันทึกเหตุการณ์ปะทะระหว่าง ตร.-คปท. ยันเสียงปืนไม่ได้มาจากฝั่งตำรวจ ชี้ผู้ได้ประโยชน์คือผู้ประสงค์สร้างความรุนแรงนำไปเป็นเงื่อนไขใช้ช่องทางพิเศษเพื่อให้ตัวเองได้มีอำนาจ

28 ธ.ค.2556 เมื่อเวลา 0.39 น. ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทย โพสต์บันทึกข้อความในเฟซบุ๊กแฟนเพจ “ชูวิทย์ I'm No.5” หัวข้อ “มวลมหาตำรวจ” เล่าถึงเหตุการณ์ปะทะระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจกับกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านการเลือกตั้งที่สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดงและกระทรวงแรงงาน เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยอ้างถึง พล.ต.ท.อนุชัย เล็กบำรุง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ได้โทรมาสอบถามตนเองเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าว โดยชูวิทย์ระบุว่าช่วงเหตุเหตุปะทะนั้นตนเองยืนอยู่ที่ร้านโจ๊ก ฝั่งตรงข้ามประตูกระทรวงแรงงานที่มีเหล่าแนวหน้าของม็อบยืนอยู่ เสียงปืนหลายนัดดังมาจากด้านซ้ายมือของตน ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของกระทรวงแรงงาน ไม่ได้มาจากฝั่งตำรวจแต่อย่างใด

ชูวิทย์ยังเตือนถึงอารมรณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้น้อยที่ปฏิบัติหน้าที่ภาคสนามที่เห็นเพื่อนตัวเองบาดเจ็บล้มตาย ในขณะที่ผู้บังคับบัญชาสั่งห้ามใช้ความรุนแรง และห้ามพกพาอาวุธ อาจมีแนวโน้มสูงว่าจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ในกรณีที่ปะทะกับม็อบ โดยชูวิทย์มองว่าคนที่ได้ประโยชน์คือผู้ที่ประสงค์จะสร้างความรุนแรง และนำไปเป็นเงื่อนไขในการใช้ช่องทางพิเศษเพื่อให้ตัวเองได้มีอำนาจ

รายละเอียดที่ชูวิทย์โพสต์มีดังนี้

    “วันนี้ พล.ต.ท.อนุชัย เล็กบำรุง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 ได้โทรหาผม และสอบถามเกี่ยวกับเหตุการณ์ ซึ่งผมได้เล่าเอาไว้ว่า ผมได้พรางตัวใน "วันสมัครรับเลือกตั้งเลือด" ช่วงเช้าวันพฤหัสที่ผ่านมา ที่มีทั้งผู้บาดเจ็บ และล้มตาย

    ผมได้เล่าเหตุการณ์ให้ พล.ต.ท.อนุชัย ฟังว่า ผมยืนอยู่ที่ร้านโจ๊ก ฝั่งตรงข้ามประตูกระทรวงแรงงานที่มีเหล่าแนวหน้าของม็อบยืนอยู่ เสียงปืนหลายนัดดังมาจากด้านซ้ายมือของผม ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของกระทรวงแรงงาน ไม่ได้มาจากฝั่งตำรวจแต่อย่างใด นี่เป็นข้อเท็จจริงที่ผมประสบมา

    ส่วนความโกรธแค้นของตำรวจที่อยู่ในสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ที่เห็นตำรวจด้วยกันบาดเจ็บล้มตาย ย่อมต้องเคืองแค้นเป็นธรรมดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ตำรวจชั้นผู้น้อยที่ปฏิบัติหน้าที่ภาคสนาม เพราะในขณะที่เจ้าหน้าที่ปั๊มหัวใจตำรวจที่ถูกยิงอยู่นั้น ยังมีการยิงเข้ามาไม่หยุดยั้ง จนตำรวจด้วยกันถึงกับต้องร้องตะโกนให้เอาโล่ห์มาบัง

    โดยปกติผมไม่ค่อยได้เข้าข้างตำรวจเสียเท่าไหร่ บางคนถึงขนาดเรียกผมว่าเป็น "ศัตรูคู่อาฆาตกับตำรวจ" แต่เหตุการณ์อย่างนี้ ผมเห็นอย่างไร รู้สึกอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น

    วันนี้ที่ตำรวจโห่ไล่ ส.ว. ที่เข้าไปตรวจสถานที่ที่สนามกีฬาเวสน์ 2 ย่อมเป็นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกร่วมที่เพื่อนตำรวจถูกกระทำจนเสียชีวิต ทั้งๆที่ยังมีเมีย และลูกเล็กๆ ส่วนใครบางคนไปประชดประชันเสียดสีว่า เมียเขาร้องให้เพราะ "ดราม่า" ทั้งๆที่เมียเขาเสียใจเพราะหัวหน้าครอบครัวเขาตาย ขอให้ลองคิดเอาแล้วกันว่า ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวตัวเองบ้าง จะรู้สึกอย่างไร?

    เหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมือง ไม่ว่าผู้สูญเสียจะเป็นตำรวจ หรือผู้ชุมนุม ย่อมเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจทั้งนั้น

    ขณะนี้ผมทราบมาว่า บรรดาตำรวจชั้นผู้น้อยส่ง Line ถึงกัน แชร์ความรู้สึกที่อึดอัด เนื่องจากถูกผู้บังคับบัญชาสั่งห้ามใช้ความรุนแรง และห้ามพกพาอาวุธ แต่ในขณะนี้อารมณ์ของตำรวจชั้นผู้น้อยเริ่มพุ่งพล่าน และมีแนวโน้มสูงว่าจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ในกรณีที่ปะทะกับม็อบ

    ตอนนี้ "มวลมหาตำรวจ" เขาเริ่มรวมตัวกัน ความรุนแรงกำลังขยายตัวเกิดขึ้น หากม็อบที่เอาแต่บอกว่า "ชุมนุมโดยสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ไม่ใช้ความรุนแรง" ปะทะกับตำรวจ โศกนาฏกรรมความรุนแรงจะเกิดขึ้นแน่นอน

    แบบนี้คงเข้าทางผู้ที่ประสงค์จะสร้างความรุนแรง และนำไปเป็นเงื่อนไขในการใช้ช่องทางพิเศษเพื่อให้ตัวเองได้มีอำนาจ

    เดี๋ยวคงได้เห็นว่าใครเป็นใคร หลังจากฝุ่นเริ่มจาง และกลับมาใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์”

ที่มา ประชาไท