แถลงข่าวนปช.แดงทั้งแผ่นดิน "ในสถานการณ์พิเศษ" 27 ธ.ค.56 (ชมคลิป)




ทีมข่าว นปช.

27 ธันวาคม 2556















วันนี้เมื่อเวลา 13.05 น.เริ่มการแถลงข่าวนปช.แดงทั้งแผ่นดิน "ในสถานการณ์พิเศษ" ประจำวันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม 2556 ณ ห้างอิมพีเรียลเวิลด์ลาดพร้าว ชั้น 5

อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานนปช.กล่าวว่า พรุ่งนี้จะมีการแถลงข่าวอีกครั้ง เป็นสุดท้ายของปีนี้ และมาพบกันในวันที่ 2 มกราคม 57 ปีใหม่ที่เราหวังว่าจะเป็นปีแห่งชัยชนะของประชาชนฝ่ายประชาธิปไตย สำหรับสถานการณ์ในช่วงนี้ มีข่าวคราวที่มีความรุนแรง ด้านหนึ่งคือฝั่งของผู้ต้องการขัดขวางและล้มการเลือกตั้ง ได้ยกระดับความรุนแรง ชัดเจนว่ามีการใช้อาวุธจริง กระทั่งทำให้เกิดการบาดเจ็บ ล้มตาย ที่เสียชีวิตก็คือตำรวจ 1 ท่าน และมีบาดเจ็บสาหัสซึ่งยังไม่ทราบว่าจะมีการเสียชีวิตตามมา หรือเป็นการบาดเจ็บทุพลภาพหรือไม่ ทั้งหมดนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น เราก็ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บทุกท่าน ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือผู้ชุมนุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอให้พวกเราช่วยกันสนับสนุนให้กำลังใจตำรวจไทย ผู้กำลังแสดงบทบาท ผู้พิทักษ์ตัวจริงในเวลานี้

เราเข้าใจว่าขณะนี้ท่านรับภาระหนัก คนเสื้อแดงทั้งหลาย และประชาชนผู้รักประชาธิปไตย ก็ปราถนาที่จะร่วมทางไปกับท่านในการพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย ที่ผ่านมานั้นเราไม่ต้องการให้เป็นภาระของตำรวจและรัฐบาล เจ้าหน้าที่ที่จะต้องดูแล เพราะลำพังผู้ชุมนุมฝ่ายเดียวก็หนักหนาพอสมควร เราจึงได้ละเว้นในการสนับสนุนแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม อย่างไรก็ตามถ้าสถานการณ์มันหนัก เหลือบ่ากว่าแรง ในไม่ช้าพวกเราประชาชนก็ต้องออกมาอย่างหนาแน่นและเป็นปึกแผ่น ขอให้ท่านอย่าท้อถอยหมดกำลังใจ ประชาชนไทยทั้งประเทศและคนทั่วโลกกำลังดูอยู่ ที่จะต้องเผชิญกับม็อบที่ยกระดับความรุนแรงขึ้นได้ไหวหรือเปล่า

อ.ธิดากล่าวต่อความพยายามที่จะยกคนระดับวามรุนแรงและมีกำลังติดอาวุธนั้นเป็นความจริง ในอดีต อ.ธิดา เคยพูดกับนักข่าวต่างประเทศ และนักการทูตเสมอ เมื่อเขาถามถึงสถานการณ์ในประเทศไทยว่า มีคน3อย่างที่เราไม่รู้ว่าพอถึงสี่แยกแล้วจะเดินเลี้ยวไปทางไหน หนึ่งคือคนที่ปัญญาอ่อนด้วยโรค สองคือคนที่วิกลจริตหรือคนบ้า สามคือคนที่เมาไม่ได้สติ เพราะเราไม่สามารถทำนายได้ว่าเขาจะเดินไปซ้ายหรือไปขวา หรือตรงไป คือป้ายบอกให้ตรง ขณะนี้เราคนไทยรู้แล้วว่าคนจะเดินไปทางไหนในฐานะวิกลจริตด้วย เดินบนเส้นทางที่ยกระดับความรุนแรงที่มากขึ้นทุกวันๆ หวังว่าความรุนแรงนี้ ประการแรกคือการบีบบังคับให้รัฐบาลนี้ให้ยอมจำนน ให้นายกรัฐมนตรีลาออก เป็นไปไม่ได้ เราอ่านหัวใจท่านว่า ท่านไม่สามารถทอดทิ้งภาระหน้าที่ที่อยู่ในมือ ใครที่จะบีบบังคับนายกรัฐมนตรีโปรดทราบไว้ด้วยว่า ความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรีนั้นมากเกินกว่า ความกลัว

ในฐานะความพยายามที่จะทำ1.บีบนายกรัฐมนตรี 2.บีบคนเสื้อแดง 3.บีบบังคับกองทัพ เป็นการขอตัวช่วย ดังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนปี49 และปีหลังๆมา นั่นก็คือเมื่อมวลชนออกมา และขู่ว่าจะเกิดความรุนแรง ปี49 ความรุนแรงก็ยังไม่เท่าไหร่แต่มีม็อบคนเสื้อเหลืองออกมาก แต่เมื่อครั้งม็อบพันธมิตรยึดสนามบินสุวรรณภูมิความรุนแรงมันยิ่งกว่าไปยึดทำเนียบ3-4เดือน จึงเป็นเหตุให้ ในที่สุดจึงต้องมีคำพิพากษาให้ท่านอดีตนายกสมชาย วงค์สวัสดิ์ต้องมีความผิดเป็นอันว่าจบ ยกกำลังออกจาสุวรรณภูมิได้เพราะมีตัวช่วยตัวใดตัวหนึ่ง หรือกองทัพ หรือองค์กรอิสระ เพราะฉะนั้นเหตุการณ์นี้อาจจะเกิดขึ้นซ้ำอีกก็ได้ จึงพูดเพื่อให้พวกเราเข้าใจทั่วกัน

อ.ธิดากล่าวต่อ สำหรับนปช. ก็ขอให้กำลังใจรัฐบาล ให้กำลังใจนายกรัฐมนตรี เพราะประวัติศาสตร์เวลานี้สำคัญยิ่งสำหรับประเทศไทยว่า จะเดินไปข้างหน้าหรือจะถูกบีบบังคับด้วยกลไกรัฐภายในให้ถอยหลัง ในขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเดินไปข้างหน้า แต่มีคนใช้ความรุนแรงส่วนหนึ่งใช้ปืนจี้ให้ประเทศไทยเดินถอยหลัง ประวัติศาสตร์จะจารึกว่า ใครจะอยู่กับพวกพลังประชาธิปไตยที่เดินไปข้างหน้า หรือจะอยู่กับพวกถอยหลังลงคลอง

2-3 วันนี้เราจะมีแนวร่วมใหม่ๆออกมา ขณะนี้มีคำแถลงกลุ่มที่เรารู้จักคือ สปป. โดยมีคำแถลงต่อกกต.และสถานการณ์ปัจจุบัน โดยขอให้พี่น้องติดตามในช่อง UDD Channel อ.ธิดาและท่านอื่นๆจะนำเสนอ รวมทั้งการวิเคราะห์ข่าว และในรายการเหลียวหลังแลไปข้างหน้าที่จะวิเคราะห์ท่าที ขณะนี้มีท่าทีของ 7 องค์กรเอกชนต่อการปฏิรูปประเทศ ต้องชมเชยแม้เขาจะอยู่ภาคธุรกิจ แต่เขาก็มีความมุ่งมั่นในการที่จะแก้ปัญหาประเทศ ข้อเสนอของเขานั้นก็เป็นข้อเสนอที่คนส่วนใหญ่รับได้ ต้องการแก้ปัญหาและต้องการให้ทำตามกฎหมายเหมือนกัน รวมทั้งคณะผู้ประสานงานองค์กรเอกชน 200 กว่าองค์กร ก็เสนอการปฏิรูปแตกต่างกัน

อ.ธิดากล่าวต่อ ขณะนี้ได้มีแนวร่วมของเราก็คือ สมาพันธ์กรรมกรเพื่อประชาธิปไตย องค์กรนี้มีสหภาพแรงงานสัมพันธ์อยู่หลายร้อยองค์กร และเป็นองค์กรที่จัดว่าก้าวหน้า มีคำแถลงในการสนับสนุนการเลือกตั้งและต้องการให้บ้านเมืองไปสู่ระบอบประชาธิปไตย 1.สนับสนุนเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 เดินหน้าสร้างประชาธิปไตยจากเสียงคนส่วนใหญ่ของประเทศ 2.ไม่เอานายกพระราชทาน ม.7 ไม่เอารัฐบาลแห่งชาติ 3.ต่อต้านระบอบเผด็จการรัฐประหารทุกรูปแบบ 4.ไม่เอาอำนาจนอกระบบทุกรูปชนิด กระทำการใดๆต้องเคารพเสียงประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ 5.หยุดปลุกระดมให้เกิดความเกลียดชังซึ่งจะนำไปสู่ความรุนแรง จนสูญเสียชีวิตและสงครามกลางเมือง ในนามสมาพันธ์กรรมกรเพื่อประชาธิปไตย ขอให้ชนชั้นผู้ใช้แรงงาน ประชาชนทั้งหลายตระเตรียมผนึกกำลังต่อสู้และปกป้องประชาธิปไตย ชีวิต ทรัพย์สินของประชาชนที่จะถูกทำลายจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมอย่างเด็ดเดี่ยวต่อไป และขอให้ฝ่ายประชาธิปไตยจงเจริญ



ด้านคุณจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำนปช.กล่าวว่า บรรยากาศในขณะนี้กำลังนำไปสู่การโค่นล้มระบอบประชาธิปไตย ที่ยาวนาน และเป็นการตีไผ่ให้กันเป็นเคลือข่ายเดิม ที่เคยทำการรัฐประหาร 19 ก.ย.49 และร่วมโค่นวล้มรัฐบาลนายสมัคร รัฐบาลสมชาย รวมกระทั่งขบวนการปราบปรามคนเสื้อแดง ในปี 52-53 โดยเหตุการณ์ทั้ง นั้นเป็นกลไกได้วางแผนสมคบคิดกันอย่างเป็นระบบ เริ่มต้นจากการเอาศาลรัฐธรรมนูญ โดยการเอาคำร้องของที่มาส.ส.ส.ว.ที่ผ่านรัฐสภา ว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง โดยเอาคำร้องมาเขียนเป็นคำวินิจฉัย ระบุว่าล้มล้างการปกครองแล้วไม่ยุบพรรค ทั้งที่จริงไม่ว่าจะเป็นอดีตกรรมการปปช.รวมทั้งนักกฎหมายมากมาย ต่างเห็นตรงกันว่าไม่มีอำนาจวินิจฉัยแต่ศาลรัฐธรรมนูญถูกวางเป็นตัวหลักให้เปิดประเด็นเรื่องนี้ก็ถูกกบฏสุเทพนำมาเป็นประเด็นปลุกมาเดินขบวนกันข้างนอก โดยสมาชิกรัฐสภาที่เข้าชื่อและโหวด383 ปฏิเสธที่จะรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเห็นว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญการตรากฎหมายนั้น เป็นอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติ เคลือข่ายของนายสุเทพก็ไปปลุกระดมว่ารัฐบาลไม่ยอมรับอำนาจตัดสินของศาลทั้งที่การกระทำของศาลรัฐธรรมนูญเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ ถือว่าผิดกฎหมาย  และก็ได้ส่งต่อมาให้ปปช.ซึ่งได้วางบทบาทให้นายวิชา มหาคุณ ซึ่งได้รับแต่ตั้งจากการทำรัฐบาล และทันทีที่ได้เป็นปปช.ได้มีการแต่งตั้งนายกษิต เป็นที่ปรึกษารับเงินเดือน เดือนละ 4หมื่นกว่าบาท นายกษิตไปยึดทำเนียบรัฐบาลและสนามบินสุวรรณภูมิ ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรก็ไปในฐานะที่ปรึกษาของวิชามหาคุณ กรรมการปปช.ซึ่งจะเห็นได้ว่า เคลื่อข่ายเหล่านี้เป็นพวกเดียวกัน ซึ่งเมื่อไปตกอยู่ที่ปปช.นายสุเทพก็เรียกร้องให้นายกฯลาออก และลาออกทั้งครม.รักษาการ และให้ประธานรัฐสภาลาออกด้วยให้เหลือเพียงรองประธานวุฒิเพื่อที่จะนำความกราบบังคมทูลรายชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่อย่างที่สุเทพได้กำหนดไว้ ซึ่งปปช.เขาก็จัดให้ จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าตอนศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา สมาชิกรัฐสภาจำนวน 383หรือ 312 คนนั้นไม่ได้เรียกผู้ใดมาให้ปากคำแต่เป็นการพิจารณาจากพยานฝ่ายเดียวมีเพียงเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเพียงหนึ่งปากเท่านั้น ที่ไปทำหน้าที่ในฐานะข้าราชการ ผู้ถูกพิพากษาในเรื่องนี้ไม่มีโอกาสได้ต่อสู้ในคดีนี้เลย และที่สำคัญทุกคนต่างเห็นว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีอำนาจมาตั้งแต่ต้น และเมื่อวานนี้ปปช.ได้แถลงว่ามีการสืบพยาน 6 ปาก ซึ่งพยานทั้ง 6 ปากนั้นไม่มีของฝ่ายที่ถูกร้องแม้แต่เพียงคนเดียว


ตนเองเห็นว่า สถานการณ์ในขณะนี้ซึ่งก่อนมีการรับสมัครเลือกตั้งก็มีการ หารือกันว่าคนที่ไปโหวตรับและเสนอ การแก้ไขที่มาสว.ให้มาจากการเลือกตั้งนั้น จะส่งลงรับสมัครเลือกตั้งดีหรือไม่แต่ทุกคนได้มองเห็นเหมือนกันว่า การกระทำดังกล่าวนั้นได้ทำในหน้าที่สมาชิกรัฐสภาที่ถูกต้อง อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
คุณจตุพรยังกล่าวอีกว่า นี่คือการตีไผ่ระหว่างศาลรัฐธรรมนูญและปปช. เพื่อที่จะให้นายกฯซึ่งรักษาการหยุดปฎิบัติหน้าที่ให้ได้ นี่คือเส้นทางระหว่างศาลรัฐธรรมนูญและปปช. ศาลรัฐธรรมนูญก็เพิ่มเรื่อง เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ซึ่งพรรคปชป.ก็แก้ไขมาแล้ว สามารถแก้ไขได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่ว่าในซีกพวกเรานั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสมือนการถูกสาป และที่สำคัญที่สุดคือกลไกเหล่านี้ก็สมคบคิดกัน ข้างนอกก็ปลุกระดมเอาคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญนำมาปลุกทั้งที่จึงคำวินิจฉัยรัฐธรรมนูญก็เอามาจากคำร้องของพรรคปชป.และสว.กลุ่ม 40 นั่นเอง ต่อมาในเรืองการทำหน้าที่ของกกต.ที่ผ่านมานั้น เราต้องยอมรับคนที่เชียวกราดที่สุด ในจำนวน 5 คนนั้นคือนายสมชัย ซึ่งมีบทบาทอยู่ในองค์กรกลางออกรายการช่องบลูสกายเป็นสม่ำเสมอ ก่อนจะได้รับการสรรหาเป็นกกต.ซึ่ง 4 คนที่เหลือมีบทบาทน้อยมาก ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาท่วงทำนองต่างๆนั้นดูเป็นการเปิดช่อง จะเปิดประตูไม่ให้มีการเลือกตั้ง มีการเสนอให้มีการเลื่อนการเลือกตั้ง ได้ทำต่างกรรมต่างวาระมาแล้วโดยเมื่อวานนี้เป็นครั้งที่ 2  ซึ่งเราก็ได้มีการเรียกร้องไปแล้วให้มีการทำเป็นมติเสนอไปยังรัฐบาลว่าจะเลื่อนก็ต้องมีการอ้างกฎหมายว่าจะใช้มาตราใด ที่เกี่ยวข้อง ที่สามารถเลื่อนวันเลือกตั้งได้ ปรากฏว่าเรื่องนี้เงียบไปจนกระทั่งเมื่อวานนี้ ที่มีการเสนอให้มีการเลื่อนการเลือกตั้ง และมีการพูดนัยๆว่าถ้าไม่เลื่อนการเลือกตั้งจะมีแนวทางของตัวเอง ซึ่งคนที่ฟังก็รู้อาจมีการลาออกแล้วก็ทำให้ไม่มีใครทำหน้าที่ ต่อมานายพงษ์เทพ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ออกแถลงอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลไม่มีอำนาจเลื่อนการเลือกตั้ง วันนี้กฤษฎีการต่อเสนอให้มีกาสรเลื่อนเฉพาะเขตที่มีปัญหาเท่านั้น ดังนั้นวันนี้ท่วงทำนองของกกต.จึงบอกว่าจะให้มีการเลือกตั้งต่อไป


คุณจตุพร กล่าวต่อว่า เหตุการณ์เมื่อวานนี้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้เสียชีวิตลง 1 นายและบาดเจ็บเป้นจำนวนมากและฝ่ายผู้ชุมนุมก็เช่นเดียวกัน ซึ่งมันไม่ควรจะเกิดขึ้น นายสุเทพพยายามอธิบายเมื่อคืนนี้ว่า การจับฉลากจบไปแล้วตั้งแต่10โมงแล้วยังยิ่งแก๊สน้ำตาอยู่ได้อย่างไร นายสุเทพต้องตอบคำถามว่าเมื่อจับฉลากแล้ว ทำไมไม่คนของคุณกลับไปปัญหาก็ไม่เกิด ไม่ใช่มาโยนใส่ความผิดแล้วท้ายที่สุดการอธิบานเมื่อคืนนี้ ผมไม่เคยคาดคิดว่าจะชั่วช้าขนาดนี้ บอกว่าตำรวจที่อยู่ในสนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่นส่วนหนึ่งเป้นคนเสื้อแดงและ ไปเอาชุดตำรวจใส่ 2ชายขุดดำไปเอาชุดตำรวจใส่และที่เหลือเป้นตำรวจจริง ตนอยากบอกกับสุเทพ ว่า ไม่มีคนเสื้อแดงหน้าโง่ที่ไหนเขาเอาชุดตำรวจมาใส่ปฏิบัติการเมื่อวานนี้ แต่การที่สุเทพต้องการที่จะอธิบายมวลชนเพื่อปัดปัญหาต่างๆซึ่งนายสุเทพก็พูดขาวให้เป็นดำ ซึ่งอันที่จริงการตายของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็เกิดจากลูกกระสุนจริง แต่ดูเสมือนหนึ่งว่าการตายของเจ้าหน้าที่ตำรวจสุเทพได้ละเลย และกรณีเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาบอกว่าไม่ได้ปฏิบัติตามหลักสากล คือเลย 5โมงไปแล้ว ตนถามไปยังนายสุเทพว่าแล้วกรณีคนเสื้อแดงคุณยิงเสมือนยังกะเซเว่นคือตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งตั้งแต่10 เมษาเป็นต้นมาคุณก็ดำเนินการในยามวิกาล และในกรณีกรรมการสิทธิ์ฯบอกมาการยิ่งแก๊สน้ำตาไม่เป็นไปตามหลักสากลขอให้หยุดยิงแก๊สน้ำตา และคุณไม่มีบอกเลยแม้แต่คำเดียวมาให้หยุดยิงกระสุนจริงไปยังเจ้าหน้าตำรวจ ซึ่งนี่คือเครือข่าย คือทุกอย่างโยงใยถึงกันหมด

ตนเองเรียนกับท่านทั้งหลายว่าเหตุการณ์หลังปีใหม่ จะมีการยกระดับปิดกรุงเทพทั้งเดือนและรวมกระทั่งขัดขวางการเลือกตั้งทุกรูปแบบแม้กระทั่งการรับสมัครแบบระบบเขตในวันพรุ่งนี้ ซึ่งหากเขตไหนสมัครไม่ได้ก็ไม่เป็นไรค่อยแก้ปัญหาเดินหน้าต่อไป แต่นาสุเทพต้องรู้อย่างหนึ่งว่า คุณจะปิดกรุงเทพทั้งเดือนมันก็เรื่องของคุณ แต่ประชาชนคนไทยเขาไม่มีทางจะยกอำนาจให้กับคุณ