แถลงข่าวนปช.แดงทั้งแผ่นดิน (สถานการณ์พิเศษ) 9 พ.ย.56



ทีมข่าว นปช.
9 พฤศจิกายน 2556


ชมคลิป



อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานนปช.กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช) กล่าวว่า 

สวัสดีค่ะ ขอบคุณพระคุณทุกท่านที่มาที่นี่ ขอบพระคุณสื่อ ขนาดเป็นเรื่องกระทันหันพี่น้องยังมาพร้อมเพรียงกันมากมายขนาดนี้ ถ้าหากเราส่งสัญญาณต่อสู้เต็มกำลังก็น่าจะพร้อมเต็มที่ใช่หรือเปล่าคะ ก็ต้องขอบพระคุณหัวใจคนเสื้อแดงทั้งหมดและได้แสดงถึงวุฒิภาวะความเข้าใจของพี่น้องประชาชนในการที่จะเลือกรับฟัง ในการเลือกที่จะปฏิบัติ และเลือกที่จะเชื่อข้อมูลที่เชื่อถือได้ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เป็นความใฝ่ฝันและเป็นความหวังของอ.ธิดาและนปช.ทีสุด ที่พบว่านปช.ทุกท่านและพี่น้องเสื้อแดงทุกท่าน มีวุฒิภาวะสามารถที่จะเลือกรับรู้และเลือกปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องได้  และนี่คือเป้าหมายของนปช.ที่จะสร้างประชาชนพลเมืองของประเทศนี้ ฐานะพลังประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าและเป็นหลักประกันไม่ให้ประเทศนี้ถอยหลังกลับไปสู่ระบอบอำมาตยาธิปไตย

วันนี้ในสถานการณ์ที่เป็นสถานการณ์ในทางยุทธศาสตร์ ที่แล้วมาการต่อสู้ระหว่างพลังประชาธิปไตยกับระบอบอำมาตย์นั้นเขาเรียกว่า อ.ธิดาสรุปเองว่า อยู่ในขั้นยันกันคือพลังใกล้เคียงกัน เราไม่ได้พูดถึงขนาดประชาชน พลังของคนเสื้อแดงและพลังประชาธิปไตยนั้นมากกว่าแน่นอน แต่พลังของระบอบอำมาตย์นั้นมีกลไกอำนาจรัฐและชนชั้นนำ กลุ่มทุนต่างๆ ที่มีอำนาจในฐานะผู้ปกครองมายาวนาน จึงยึดกุมทั้งความคิดยึดกุมทั้งพื้นที่ในปริมณฑลของผู้ปกครองและผู้คุมอำนาจของรัฐไว้แน่นหนา แต่พลังประชาธิปไตยนั้นเป็นพลังของประชาชนที่ยิ่งใหญ่ มวลชนพื้นฐานซึ่งถ้าพูดกัน พลังที่มีอนาคตและยิ่งใหญ่กว่าก็คือมวลชนพื้นฐานอันเป็นพลังประชาธิปไตยแน่นอน เว้นแต่เพียงว่าในระยะประวัติศาสตร์ประเทศไทย พลังของความคิดเก่าและพลังของกลุ่มอำนาจที่ครอบงำสังคมไทยมายาวนานนั้นยังเข้มแข็ง เพราะไม่ได้ถูกทำลาย  ดังนั้นไม่ใช่ง่ายที่พลังประชาธิปไตยจะฝ่าด่านนี้ ท่ามกลางการต่อสู้ถ้านับจากรัฐประหารปี2549 การที่เราสามารถจะลุกขึ้นมาจากการถูกทำรัฐประหารปราบปรามเข่นฆ่า จนกระทั้งผ่านการเลือกตั้งและตั้งรัฐบาลได้ ถือว่าเป็นพลังฝ่ายประชาธิปไตยในฐานะรับมาเป็นรุก  จากพลังที่ยันกันเขากำลังเคลื่อนขบวนเพื่อรุกเราให้ถอยหลังและล้ม นั่นหมายถึงว่าระบอบอำมาตย์ก็จะสามารถสถาปนาความเข้มแข็งในระดับที่ต่อยอดจากรัฐธรรมนูญ2550 จากระดับที่ต่อยอดจากองค์กรอิสระ และตุลาการที่มีอำนาจเหนือฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารอีก ประเทศไทยอาจถูกแช่แข็งเป็นเวลายาวนาน ถามว่าประชาชนจะยอมได้หรือไม่ ประชาชนไม่ยอมแน่นอน เพราะว่าถ้าปล่อยให้มีการรุกเช่นนี้ นั่นหมายถึงการพลีชีพของพี่น้องเราความสูญเสียต่างๆแม้กระทั่งอิสรภาพที่ต้องทนทุกข์ จนกระทั่งบัดนี้รวมทั้งคดีความทั้งหลายทั้งปวง การเสียสละเหล่านั้นมันช่างไม่คุ้มค่า เพราะคนที่รอดชีวิตกระทั่งได้อำนาจจำนวนหนึ่งนั้นไม่สามารถรักษาชัยชนะของประชาชนได้ นี่เป็นความรับผิดชอบของเราที่ยังอยู่ สามารถที่จะขับเคลื่อนได้ เป็นความรับผิดชอบที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราจำเป็นจะต้องรักษาชัยชนะและไม่ให้ประเทศนี้ถอยหลังกลับไปดังนั้นในขณะนี้การรุกคืบหน้าของประชาชนที่ดูประหนึ่งว่าจะนับถอยหลัง ดังที่พวกเราเข้าใจกันว่า เขาได้เปลี่ยนจากเรื่องนิรโทษกรรมมาเป็นล้มรัฐบาล ไม่ใช่แต่เพียงเท่านี้ เขาจะต่อยอดให้อำนาจของระบอบอำมาตย์นั้น สามารถต่อยอดแห่งความสำเร็จและแช่แข็งประเทศไทยไปอีกยาวนาน นี่คือยุทธศาสตร์ของเขาค่ะ

เผอิญที่ผ่านมาก็ต้องยอมรับว่าเป็นความผิดพลาดในการวางยุทธศาสตร์ ที่ทำให้พรบ.นิรโทษกรรมสุดซอย กลายเป็นบัตรเชิญที่มีค่าเอนกอนันต์สำหรับเครือข่ายอำมาตย์ ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่เขาสามารถจะเรียกมวลชนได้มาก ดังนั้นมาถึงสถานการณ์นี้เพื่อไม่ให้ประเทศนี้ต้องถอยหลัง จึงจำเป็นที่นปช. พันธมิตรและเพื่อนมิตรทั้งหลายทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นพรรคเพื่อไทยและกลุ่มแดงอิสระต่างๆ ก็จะต้องจับมืองกัน นี่ไม่ใช่การปกป้องใคร แต่เป็นการตอบโต้ไม่ให้กลุ่มอนุรักษ์นิยมล้าหลังสุดโต่งเหล่านี้ พาประเทศชาติถอยหลังกลับไปอีกเรายอมไม่ได้

ฉะนั้นปัญหาระหว่างกันจึงขอให้เป็นเรื่องเล็ก แต่ว่าผิดก็ต้องเก็บรับบทเรียนและต้องเข้าใจว่าทฤษฏีสองขานั้น ก็เพราะมันติดกันถ้าขาหนึ่งไปพังมันก็พากันไปพังทั้งหมด ก็เพราะไปด้วยกันมันจึงต้องเตือนกัน แต่ถ้าไม่ตั้งใจจะไปด้วยกันก็ไม่ต้องเตือนกันจะไปทางไหนก็ไป แต่นี่ไม่ใช่ เรายังยึดยุทธศาสตร์สองขาและยังยึดมั่นเพื่อนมิตรของเราที่ไม่ต้องการรัฐประหาร ที่ไม่ต้องการอำนาจนอกระบบและพลังประชาธิปไตยล้วนเป็นเพื่อนกันต่อสู้ อยู่ในกลุ่มเดียวกันทั้งหมดควรจะต่อสู้ด้วยกันอย่างเป็นเอกภาพ ไม่ทำลายซึ่งกันและกัน ถ้าทำลายซึ่งกันและกันนั่นหมายถึงความอ่อนแอของพลังทั้งหมด และผู้ชนะก็คือผู้ที่ทำให้ประเทศนี้ถอยหลัง จึงอยากจะเรียนมายังพี่น้องทั้งหมดชัดเจนในยุทธศาสตร์ของการต่อต้าน เครือข่ายระบอบอำมาตย์ที่กำลังรุกเข้ามาอย่างเต็มกำลัง

สิ่งที่พวกเราพิจารณา เขาต้องการนับถอยหลังให้กับรัฐบาลนี้ และเมื่อรอเหตุการณ์วันที่ 11 ซึ่งจะมีคำพิพากษาของศาลโลกก็จะมีพวกอนุรักษ์นิยมสุดโต่ง แม้คำตัดสินนั้นไม่เป็นคุณก็จะผนวกเอาถือเป็นความผิดและความไม่ชอบธรรมของรัฐบาลนี้ เพราะฉะนั้นเราจึงของส่งเสียงมายังรัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่า ขอให้การกระทำทุกอย่างนั้น สร้างความชอบธรรมในการดำรงค์อยู่ของรัฐบาลและพรรคการเมือง แม้ว่าจะมีเสียงข้างมากในรัฐสภา แม้นว่าจะปฏิบัติถูกต้องตามกฏหมายแต่นั่นไม่สำคัญเท่ากับความชอบธรรมทางการเมือง ซึ่งจะทำให้สถานะของรัฐบาลและระบอบประชาธิปไตยจะสามารถดำรงค์อยู่ได้ยาวนานโดยเฉพาะรัฐบาลนี้ เพราะฉะนั้นหากได้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ล่อแหลมกับความชอบธรรม ขอให้หยุดเสีย เรื่องที่ผ่านมานั้นเป็นบทเรียนตัวอย่าง ในย่างก้าวของเราสำหรับประชาชน


ด้านคุณจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช)

กล่าวว่า  สถานการณ์ในช่วงที่ผ่านมานั้น ผมเองและพี่น้องทุกท่าน เราต่างมีความรู้สึกถึงความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ ระหว่างนปช. พรรคเพื่อไทย แม้กระทั่ง asia update ก็ตามเป็นความสัมพันธ์ ที่สร้างความร้าวลานระหว่างกัน  ผมเองได้สะท้อนความรู้สึก ต่างกรรมต่างวาระ ในโอกาสต่างๆกัน และได้ส่งสัญญาณเตือน ถึงภัยที่กำลังจะมา ถ้าปรากฏการชุมนุมของพรรคประชาธิปัตย์และเครือข่ายทั้งหมดนั้น พี่น้องจะแลเห็นว่า สุเทพ เทือกสุบรรณซึ่งเวลานี้กำลังเคิบเคลิ้มว่าตัวเองเป็นวีระบุรุษใน การต่อสู้ครั้งนี้ จนลืมนึกไปว่า วันที่ 12 ธ.ค.ทั้งนายอภิสิทธิ์และตัวนายสุเทพเอง จะถูกพนักงานอัยการนำตัวไปฟ้องศาล ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล แต่ปรากฎการณ์ของสังคม ที่ถูกสร้างกระแสให้คนเกิดความรู้สึก ทั้งกระแสจริงและกระแสเทียมผ่านตามรูปแบบต่างๆนั้น ท้ายที่สุดก็ได้มีการแสดงตนว่าเป้าหมายที่แท้จริงของตนนั้น คือการโค่นล้มรัฐบาล หรือการโค้งล้มระบอบประชาธิปไตย

ประเด็นเรื่องการนิรโทษกรรมสุดซอย บัดนี้ถือว่าจบสนิทแล้ว ทั้งทางพรรคร่วมรัฐบาล ตั้งแต่ตัวนายกรัฐมนตรีลงมานั้น ได้ปฏิบัติชัดเจนว่า จะไม่นำร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยนี้ หยิบยกขึ้นมาพิจารณาอีก แต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พรรคประชาธิปปัตย์ กลุ่ม 40 สว.และเคลือข่ายทั้งหลาย เมื่อเขาพาประชาชนมาด้วยพ.ร.บ.นิรโทษกรรม และบัดนี้ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมนี้ทางพฤตินัย ก็ถือว่าตายสนิทแล้ว ปรากฏว่าคนที่ไม่ยอมให้ร่างพ.ร.บ.นี้ตาย ก็คือพรรคประชาธิปัตย์ และสว.กลุ่ม40 และบรรดาเครือข่ายทั้งหลาย ที่จะต้องเลี้ยงร่างพ.ร.บ.นี้ให้คาเอาไว้ เพื่อจะใช้เป็นเหตุในการยกระดับ ในการโค่นล้มรัฐบาล ซึ่งไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางมันจะจบลงอย่างไร มันจะจบลงแบบการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหารย้ายขั้วสลับข้าง หรือจะจบลงแบบการรัฐประหารหรือจะจบลงแบบ ที่หลานคนมีความใผ่ฝันกัน เรื่องรัฐบาลแห่งชาติ แต่ทั้งหมดนั้นมันได้สะท้อนอธิบายว่าแท้จริงนั้น สิ่งที่เป็นหายนะภัยที่จริงมันเป็นกลเกมทางการเมือง

เมื่อวานนี้นายนิคม ประธานวุฒิสภาได้เรียก ให้มีการประชุม มีวาระเดียวเพื่อคว่ำร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ ปรากฏว่า สว.กลุ่ม 40 ไม่เข้าร่วมประชุมองค์ประชุมไม่ครบ ทั้งที่กลุ่มนี้ประกาศคว่ำทุกเวลา แต่พอเขาพาไปคว่ำไม่เข้าไปคว่ำ ท้ายที่สุดองค์ประชุมไม่ครบ ประชุมไม่ได้เพราะเขาต้องการให้ประชุมกันในวันที่ 11 พ.ย.นี้ ซึ่งเป็นวันที่ศาลโลกตัดสินคดีปราสาทพระวิหารท่ามกลางการปล่อยกระแส การจัดตั้งกำลังของขบวนการคนกัมพูชา ที่มาป่วนการเมืองในประเทศไทย คือปลุกกระแสเอาไว้ก่อนรอ ศาลโลกอ่านคำพิพากษาตอน 4 โมงเย็น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศตั้งศาลประชาชน ในเวลา 6 โมงเย็น ซึ่งเกิดว่าพึ่งเคยพบเคยเห็น  ว่าฆาตกรคดีฆ่าคนตาย ดันตั้งศาลเสียเอง เหมือนกับความพิพากษาตัดสินประหารชีวิต ประชาชนร่วมร้อยชีวิต บาดเจ็บ 2,000 ในช่วงที่ผ่านมา พฤติกรรมเหมือนกับศาลเตี้ย ที่จัดการกับคนที่มีความเห็นที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นทั้งประเด็นปราสาทพระวิหาร เรื่องนิรโทษกรรมถูกจับมาร่วมกัน ดังประเด็นที่ผมเคยพูดเอาไว้ทุกประการ แล้วเมื่อ6 โมงเย็นของวันที่ 11 พวกนี้ก็จะประกาศยกระดับขับไล่รัฐบาล และจะขยับยกระดับขับไล่ตระกูลชินวัตร เพราะฉะนั้นสิ่งที่เขาได้ตระเตรียมมาทั้งหมดนั้น จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าภารกิจของนปช.เรามีจุดยืนที่มั่นคง หักไม่ยอมงอในกรณีของร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพราะจุดยืนของเรา ไม่มีวันปล่อยฆาตกร ที่เข็นฆ่าประชาชนพี่น้องเรา กว่า 100 ชีวิตบาดเจ็บ 2.000 พร้อมแรกทุกกรณี

เพราะฉะนั้นจุดยืนที่ผ่านมานั้น เป็นจุดยื่นที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วพี่น้องจะแลเห็นว่า พวกผมเองนั้นยอมสูญเสียทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรจะเกินขึ้น ไม่ว่าอะไรที่มีในชีวิตนี้ ก็ไม่มีวันจะยอมที่จะปล่อยนายสุเทพและนายอภิสิทธิ์ให้ลอยนวลจากการฆ่าประชาชน  เพราะฉะนั้นบัดนี้การฆ่าประชาชนได้ถูกทำให้ลืมไปจากกระแสประชาชน กระแสนิรโทษกรรม แทบจะไม่มีการพูดถึงคดีฆ่าคนตายกลางท้องถนน ตั้งแต่ 10 เม.ย.ถึง 19 พ.ค.ที่ไปปิดท้ายในเขตอภัยทาน

พวกผมประกาศมาตั้งแต่ต้น เรื่องคำว่าล้างโกง ร่วมกระทั่งคำของพวกผมว่า ล้างเลือด ถ้าการพิจาณาเรื่องการทุจริต เป็นไปตามครรลอง คลองธรรม ปฏิบัติเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ รัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ รัฐบาลชวน หลีกภัย รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัฒร ปฏิบัติการอย่างเดียวกันผมจะไม่มีการพล่ำบ่น แต่ว่าการตั้ง คตส.เลือกปฏิปักษ์ทางการเมืองมาดำเนินคดีนั้นมันขัดต่อหลักนิติธรรม และหนึ่งใน คตส.นั้นก็อยู่ในเวทีพรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ เพราะฉะนั้นประเด็นเรื่องการทุจริต พวกผมไม่เคยแสดงการปกป้องแต่เราบอกว่าวิธีการ เหมือนยกกรณีที่ สปก4-01ภูเกตมูลค่าหลายหมื่นล้านที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณไปแจกสปก.ให้และหนึ่งในที่ได้รับคือสามีของเลขานุการของตัวเอง ศาลฎีกาพิพากษาให้คืนที่ตกเป็นของแผ่นดิน นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ไม่เคยรับโทษถูกดำเนินคดี ให้จำคุกแม้แต่เพียงวันเดียวนั่นขณะเป็นที่หลวง เรื่องทุจริตการเลือกตั้ง ส.อบจ.สุราษธานีมติของศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตัดสินให้กกต.ดำเนินคดีกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณข้อการทุจริตการเลือกตั้ง คดีก็ไม่มีความคืบหน้า กรณีเขาแพง กรณีปรส.อันเป็นที่จดจำของไทยเรา แต่ว่าคดีฆ่าคนตายพวกเราไม่มีวันที่จะยอม

 เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ทั้งหมดที่มันเกินขึ้นเรื่อง ข้อหาการทุจริตคอรัปชั่นถ้าบ้านเมืองนี้ที่ประชุมอธิการบดี ที่ประชุมของเครื่อข่ายคนดีทั้งหลายที่ออกมานั้น ต้องการให้บ้านเมืองนี้ปราศจากคอรัปชั่นบ้านเมืองนี้มีแต่ความซื่อสัตย์สุจริต คนเสื้อแดงไม่มีใครที่ไหนจะไม่เห็นด้วย เพราะฉะนั้นถ้าคิดว่าการจัดการ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็ควรจะใช้วิธีเดียวกันนี้จัดการกับนายอภิสิทธิ์ฯ ดังเช่นเดียวกัน ผมไม่มีหน้าที่ปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ผิดเป็นผิดถูกเป็นถูก แต่เอากติกาเดียวกัน มาจัดการกับอดีตนายกรัฐมนตรีทุกคน ถ้าเป็นอย่างนี้ คำว่า “ล้างโกง” จะไม่มีวันจะเกิดขึ้นเพราะฉะนั้นคำว่า “ล้างโกง”ได้ถูกนำมากลบกับคำว่า “ล้างเลือด” ฆาตกรได้ส่งเสียงกับคำว่า “ล้างโกง”และขณะเดียวกันตัวเองก็ฟอกตัวเองให้สะอาดแล้วก็เป่านกหวีด สร้างเป็นกระแสสังคมว่า “ข้าพเจ้านี่เหละคือผู้ปราบโกง”  ทั้งที่ตัวเองอย่าว่าแต่คาบเลือดเลย คาบทุจริตก็ติดอยู่ที่หลักอย่างแสนสาหัสมากกว่าที่กล่าวหาคนอื่นเสียด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเราเองก็เห็นว่า ถ้าปล่อยให้นายสุเทพ”นำนายอภิสิทธิ์และพวกเดินกันไปอยู่อย่างนี้ ถ้าเขาคว่ำรัฐบาลได้ อย่างไรเขาก็เจอกับคนเสื้อแดงอยู่แล้ว

แต่วันนี้เราบอกว่าถึงไหนๆเราก็หนีไม่พ้น ถ้าปล่อยให้พวกนี้เดินต่อไป ชกคนเดียวต่อไป จนกระแสสังคมในประเทศนี้ยกนายสุเทพคือวีระบุรุษ คือคนดี ซึ่งต้นทุนนั้นจะแตกต่างไปจากการตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร วันที่พวกนี้จัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ต้นทุนทางสังคมเขาติดลบ เสื้อแดงเราจำนวนเรือนหลายแสน ทั้งประเทศนับสิบๆล้าน เราจึงมีความชอบธรรม ที่จะไปจัดการกับรัฐบาลในค่ายทหารซึ่งจะแตกต่างไปจากคราวนี้ ถ้าเราปล่อยให้นายสุเทพและนายอภิสิทธิ์เดินต่อ โดยที่ฝ่ายเราไม่ได้แสดงจุดยืนและแสดงความเห็นแตกต่าง และก็มีการพูดความจริงให้เกิดขึ้น  ท้ายที่สุดในวันที่เราจะต้องไปเผชิญหน้ากับพวกนี้โดยตรงในวันนั้นกระแสนิยมต้นทุนพวกนั้นจะสูง แล้วเราจะจัดการได้ยาก เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพี่น้องคนเสื้อแดงนั้น เราจะปล่อยให้ฆาตกรได้ล้างเลือด ฟอกตัวเองให้เป็นวีรบุรุษไม่ได้ คุณเป็นฆาตกรวันยังค่ำ เพราะฉะนั้นการที่พวกผมเองนั้นจำเป็นต้องคุยกับพรรคเพื่อไทย กับรัฐบาลเพราะเรารู้ว่าจุดหมายปลายทางเราต่างหนี้ไม่พ้น และในวันที่กระแสนิยมกระแสวีรบุรุษ คนเสื้อแดงก็จะต้องเผชิญชะตากรรมไม่รู้จะตายกันสักกี่คนดี บาดเจ็บ สูญสิ้นอิสรภาพกันสักอีกกี่คน

เพราะฉะนั้นพวกผมเอง เข้าใจความรู้สึกของพี่น้องเราดี เราต่างมีความรู้สึกถึงความเจ็บปวดแต่ว่าฉะตากรรมนี้เป็นชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ตามเราไม่มีทางเลือกเป็นอย่างอื่นหน้าที่ของเราก็คือการรักษาประชาธิปไตยเอาไว้และก็สร้างประชาธิปไตย และจะต้อง”จัดที่อยู่ให้ฆาตกร ให้เขาควรอยู่ในที่ของฆาตกรไม่ใช่ที่ของวีรบุรุษ”

ดังนั้นจึงต้องเชิญชวนให้พี่น้องทั้งหลาย ในวันที่ 10 นั้นมี 3กิจกรรมที่ผมจะต้องเชิญชวนให้พี่น้องไปร่วมกันทั้ง 3 กิจกรรมไม่ว่าจะเป็นโรงเรียน นปช.ที่ดอนเมือง ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่เวลา 9.00 น.เป็นต้นไป กิจกรรมของ บก.ลายจุด หนูริ่ง ที่มีจุดยืนที่ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกับพวกเรานั้น ที่แยก ราษฎร์ประสงค์ผมก็จะใช้วิธีการว่า จะไปเริ่มตอนเที่ยงตรงไปให้กำลังใจพี่น้องสี่แยก ราษฎร์ประสงค์ก่อน และก็จะมาพูดที่วิทยาลัยเทคนิค ดอนเมือง และก็จะปิดท้ายกันที่เวทีที่เมืองทอง ซึ่งพี่น้องคนเสื้อแดงจะเดินทางมาร่วมกับพี่น้องในกรุงเทพมหานครมากันทั้งประเทศ