ข่าวสด 19 ตุลาคม 2556
"ดี
เอสไอ" ส่งให้บช.น.สอบเพิ่มอีก 5 สำนวน เหยื่อปืนเมื่อปี"53
มีพยานหลักฐานน่าเชื่อได้ว่าเกิดจากการกระทำของ เจ้าหน้าที่ เผย 3
ศพถูกยิงตายบริเวณถนนพระราม 4 ส่วนอีก 2 ศพ
ถูกยิงบริเวณถนนตะนาวและถนนดินสอ ศาลไต่สวนนัดแรกอีกศพ คดีเหยื่อปืน
เป็นชายไม่ทราบชื่อ ถูกยิงเมื่อ 19 พ.ค.
พยานระบุมีแต่เจ้าหน้าที่ที่ซุ่มอยู่ตามต้นไม้ในสวนลุมฯ และตึกสูงยิงใส่
"วิชา มหาคุณ" ทีมสอบคดีปราบม็อบแดงของป.ป.ช.
ระบุต้องรออัยการสูงสุดสั่งคดี "มาร์ค-เทือก" เสียก่อน
แล้วค่อยสอบตามขั้นตอนต่อไป
เมื่อวันที่ 18 ต.ค.
ที่ศาลอาญา ศาลไต่สวนคดีที่พนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 3
ยื่นคำร้องขอให้ไต่สวนการเสียชีวิตของชายไทยไม่ทราบชื่อและนามสกุล
ที่ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณแยกสารสิน
ถนนราชดำริในเหตุการณ์สลายชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ
แห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 โดยอัยการนำพยานขึ้นเบิกความ 2
ปาก คือ นายตนัยฉัตร แซ่ตั้ง ผู้ชุมนุมนปช. และนายวัฒนชัย เอี่ยมนาค
การ์ดนปช.
นายตนัยฉัตรเบิกความโดยสรุปว่า
ร่วมชุมนุมกับกลุ่มนปช. ตั้งแต่เดือนมี.ค.2553 ต่อมาต้นเดือนพ.ค. 2553
พยานป่วยจึงกลับไปพักฟื้นที่บ้าน และวันที่ 16-17 พ.ค. 2553
จึงกลับมาชุมนุมอีกครั้ง ต่อมาวันที่ 19 พ.ค. พยานพร้อมพวกตื่นนอนตอนตี 4
แล้วเดินไปที่หน้าร.พ.จุฬาลงกรณ์ บริเวณแยกศาลาแดง
มีกองยางของกลุ่มผู้ชุมนุมกั้นถนนอยู่ เห็นตำรวจอยู่ในร.พ.จุฬาลงกรณ์
ในลักษณะรักษาสถานที่ราชการ
พยานเบิกความว่า เวลาประมาณ
06.00 น. มีรถหุ้มเกราะ 3 คัน จอดบนสะพานข้ามแยกศาลาแดง
จึงวิ่งมาหลบหลังกองยาง สักพักมีเสียงปืนยิงรัว
และเจ้าหน้าที่ประกาศให้สลายการชุมนุม
แต่ไม่ได้บอกว่าถ้าไม่เลิกชุมนุมจะทำอย่างไร
พยานเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่จะสลายการชุมนุมโดยวิธีปกติ คือใช้โล่ กระบอง
และแก๊สน้ำตา จึงยังชุมนุมต่อไป
หลังจากนั้นเห็นกลุ่มควันอยู่ด้านนอกแนวกั้น บริเวณใต้สะพานข้ามแยก
และมีการฉีดน้ำ ผู้ชุมนุมคิดว่ากลุ่มควันเป็นแก๊สน้ำตา ต่อมาเวลา 07.00
น.เศษ เห็นนายถวิล คำมูล
นั่งอยู่หลังบังเกอร์และปาระเบิดปิงปองใส่เจ้าหน้าที่
ก่อนจะย้ายมาที่ป้ายรถเมล์ แล้วถูกยิงล้มลง พยานได้ยินเสียงปืนหลายนัด
คาดว่ายิงมาจากบริเวณโรงแรมดุสิตธานี และบนสะพาน
นายตนัย
ฉัตรเบิกความว่า จากนั้นมีคนเข้าไปนำร่างนายถวิลออกมา
แต่ก็ถูกยิงบาดเจ็บอีก 2 คน ส่วนชายไม่ทราบชื่อในคดีนี้
พยานเห็นตอนกำลังช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอยู่บริเวณแยกราชดำริ
แต่ไม่รู้จักกันมาก่อน
เหตุที่จำได้เพราะชายคนดังกล่าวอาสาจะช่วยพระนำศพนายถวิลออกมา
และต่อมาพระรูปดังกล่าวกลับมาบอกกับผู้ชุมนุมว่าชายคนนี้ถูกยิงศีรษะเสีย
ชีวิตแล้ว และขณะที่พระเอาขาไปกั้นศพไว้ ก็ถูกยิงลอดขาเพื่อให้ถอยออกมาด้วย
พยานจึงถอยกลับมาที่เต็นท์ และออกจากพื้นที่ชุมนุมช่วงเที่ยงวันที่ 19
พ.ค. และพยานเห็นว่าชายไม่ทราบชื่อไม่มีอาวุธ เพราะไม่สวมเสื้อ
และพยานไม่เห็นขณะที่ถูกยิง
ส่วนนายวัฒนชัยเบิกความว่า
ช่วงเวลา 03.00-05.00 น. วันที่ 19 พ.ค. พยานอยู่หน้าคลินิกนิรนาม
ใกล้ราชกรีฑาสโมสร ถนนราชดำริ เห็นผู้ชุมนุมถูกยิง 3 คน
จึงเข้าไปช่วยนำตัวออกมาส่งร.พ.
แต่พยานไม่เห็นการเคลื่อนกำลังพลของเจ้าหน้าที่
แต่เห็นเจ้าหน้าที่ซุ่มอยู่ตามต้นไม้ในสวนลุมพินีและตึกสูง กระทั่งเวลา
06.00 น. มีผู้ชุมนุมแจ้งว่ามีคนถูกยิงเสียชีวิต ทราบชื่อภายหลังว่านายถวิล
คำมูล อยู่บริเวณจุดจอดแท็กซี่อัจฉริยะ หน้าร.พ.จุฬาลงกรณ์
และไม่สามารถนำศพออกมาได้เพราะมีเจ้าหน้าที่ยิงอยู่
จึงนั่งรถมูลนิธิไปถึงประตู 4 สวนลุมพินี ห่างจากศพ 200 เมตร
เพราะรถถูกยิงไม่สามารถขับเข้าไปใกล้กว่านี้ได้
พยานเบิก
ความอีกว่า จากนั้นพยานพร้อมเพื่อนการ์ด
เข้าไปจอดรถบริเวณลานจอดรถที่ทำการสวนลุมพินี
เห็นเจ้าหน้าที่ซุ่มอยู่ตามต้นไม้ 10 นาย พร้อมอาวุธปืนเอ็ม 16 ปืน ทาโวร์
และปืนลูกซอง จึงถอดเสื้อแสดงให้เห็นว่าไม่มีอาวุธ แล้ววิ่งไปพร้อมพวก 34
คน เพื่อนำศพนายถวิลออกมา หลังจากนั้นนายชัชชัย
หนึ่งในคนที่เข้าไปช่วยถูกยิงที่ท้อง
พยานวิ่งไปแอบที่จุดจอดแท็กซี่อัจฉริยะก็ถูกยิงกระสุนทะลุหน้าอก
จึงวิ่งออกมาและกลับขึ้นรถไปร.พ.ตำรวจ ไม่ได้กลับมาที่ชุมนุมอีก
และไม่เห็นว่าใครถูกยิงหลังจากนั้น ส่วนชายไทยไม่ทราบชื่อในคดีนี้
พยานจำไม่ได้ว่า เคยเห็นในระหว่างชุมนุม และในวันเกิดเหตุหรือไม่
ภาย
หลังการไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลนัดไต่สวนครั้งต่อไปวันที่ 7 พ.ย. เวลา
09.00-16.00 น. โดยอัยการจะนำพยานที่เป็นผู้ชุมนุม นปช.ขึ้นเบิกความอีก 2
ปาก
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ
ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษดีเอสไอ
กล่าวถึงความคืบหน้าคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐในเหตุการณ์
สลายการชุมนุมเดือนเม.ย.-พ.ค.2553
ว่าภายในสัปดาห์หน้าพนักงานสอบสวนดีเอสไอจะส่งสำนวนคดีชันสูตรพลิกศพ
ไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล เพิ่มเติมอีก 5 ศพ คือ นายธนโชติ ชุ่มเย็น
นายวงศกร แปลงศรี นายเฉลียว ดีรื่นรัมย์ โดยทั้ง 3 ราย
เหตุเกิดที่ถนนพระราม 4 และอีก 2 ราย คือ นายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์
และนายอำพน ตติยรัตน์ เหตุเกิดที่ถนนตะนาวและถนนดินสอ เมื่อวันที่ 10 เม.ย.
2553 ทั้ง 5
ศพนี้มีพยานหลักฐานน่าเชื่อได้ว่าเป็นการเสียชีวิตที่เกิดขึ้นจากการกระทำ
ของเจ้าพนักงาน ซึ่งอ้างว่าเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่ในขณะนั้น
สำหรับ
รายละเอียดเบื้องต้นเกี่ยวกับ 5 ศพดังกล่าว มีดังนี้ นายธนโชติ ชุ่มเย็น
อายุ 34 ปี อาชีพขับรถรับจ้าง อยู่บ้านเลขที่ 61 หมู่ 3 ต.คุ้งสำเภา
อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท ถูกยิงเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553, นายวงศกร แปลงศรี อายุ
41 ปี อยู่บ้านเลขที่ 39/2 หมู่ 5 ต.โนนสัง อ.กันทรารมย์ จ.ศรีสะเกษ
ถูกยิงเมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2553, นายเฉลียว ดีรื่นรัมย์ อายุ 27 ปี
อยู่บ้านเลขที่ 64 หมู่ 2 ต.หินเหล็กไฟ อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์
ถูกยิงเมื่อวันที่ 16 พ.ค. 2553 นายอำพน ตติยรัตน์ อายุ 26 ปี
นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม อยู่บ้านเลขที่ 56/8 ซอยสุภาพงษ์
3 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม. ถูกยิงเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 และ
นายเทิดศักดิ์ ฟุ้งกลิ่นจันทร์ อายุ 29 ปี อยู่บ้านเลขที่ 44/339 หมู่ 4
ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ถูกยิงเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553
ผู้
สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวนดีเอสไอ
ส่งให้สำนวนชันสูตรพลิกศพให้บช.น.พิจารณาไปแล้ว 12 ศพ ประกอบด้วย
1.น.ส.สัญธะนา สรรพศรี อายุ 32 ปี 2.นายกิตติพันธ์ ขันทอง อายุ 25 ปี
3.นายสมาพันธ์ ศรีเทพ หรือน้องเฌอ อายุ 17 ปี วัยรุ่นนักกิจกรรมทางสังคม
4.นายอำพล ชื่นสี อายุ 25 ปี 5.นายอุทัย อรอินทร์ อายุ 39 ปี 6.นายสุภชีพ
จุลทัศน์ อายุ 36 ปี 7.นายมนูญ ท่าลาด อายุ 44 ปี 8.นายธันวา วงศ์ศิริ อายุ
26 ปี 9.นายสรไกร ศรีเมืองปุน อายุ 34 ปี 10.นายบุญทิ้ง ปานศิลา อายุ 25
ปี 11.นายทิพเนตร เจียมพล อายุ 32 ปี และ 12.นายเหิน อ่อนสา อายุ 40 ปี
ด้าน
นายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)
ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนคดีสั่งสลายการชุมนุมม็อบเสื้อแดงเมื่อปี 2553
โดยมิชอบ เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก
กล่าวถึงความคืบหน้าการไต่สวนคดีว่า ต้องรอดูท่าทีอัยการสูงสุด
ก่อนว่าจะมีความเห็นกรณีที่ดีเอสไอ สั่งฟ้องคดีกล่าวหานายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ
ในอดีตผอ.ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)
ในความผิดฐานร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าและพยายามฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล
หรือไม่
นายวิชากล่าวต่อว่า
เพราะเกรงว่าหากป.ป.ช.ไต่สวนต่อไปอาจจะทำคดีซ้อน
เนื่องจากคนหนึ่งคนจะมีความผิดเดียวกันใน 2 คดีไม่ได้
หากอัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้องในคดีใด ป.ป.ช.ก็ต้องหยุดทำคดีนั้นก่อน
เพื่อรอฟังความเห็นของอัยการสูงสุด แต่หากมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง
ทางป.ป.ช.จะกลับมาดูว่าเกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
ซึ่งอยู่ในอำนาจการไต่สวนตามกฎหมายของ ป.ป.ช.หรือไม่ ดังนั้น
ป.ป.ช.ต้องยุติการไต่สวนคดีชั่วคราว
เพราะต้องรอดูว่าอัยการสูงสุดจะมีความเห็นกรณีที่ดีเอสไอส่งสำนวนมาไปในทาง
ใด แต่ระหว่างนี้ ป.ป.ช. ไม่ได้นิ่งเฉย
ยังรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมในบางประเด็นต่อไป
