อัยการสั่งฟ้อง คดีรุกเขาแพง

ข่าวสด 25 กันยายน 2556


อัยการสั่งฟ้องแล้ว คดีรุกเขาแพง-เกาะสมุย เอาผิด 'ลูกเทพเทือกจำเลยรวม 4 คน ตามความผิดพ.ร.บ.ป่าไม้ 2 ข้อหา ก่อนอัยการนำตัวยื่นฟ้องต่อศาล แล้วได้รับประกันตัวไป โดยศาลอาญานัดตรวจพยานหลักฐาน 11 พ.ย. ด้านพนักงานสอบสวนดีเอสไอยันพยานหลักฐานชัดเจน 100 เปอร์เซ็นต์ บ่งชี้บุกรุกที่ดินของรัฐ หากคดีถึงที่สุดต้องยึดคืน

เมื่อวันที่ 24 ก.ย. นายชาติพงษ์ จีระพันธุ์ อัยการพิเศษ ฝ่ายคดีพิเศษ 4 กล่าวว่า เมื่อวันที่ 23 ก.ย. ที่ผ่านมา อัยการมีความเห็นสั่งฟ้องนายแทน เทือกสุบรรณ บุตรชายของนาย สุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฏร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ พร้อมพวกรวม 4 คน ในคดีบุกรุกที่ดินเขาแพง ม.6 ต.แม่น้ำ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เป็นคดีดำที่ อ.3534/56 รวม 2 ข้อหา ตามความผิดพ.ร.บ.ป่าไม้ คือกระทำความผิดก่อสร้าง แผ้วถางป่า หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเอง และ ผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง หรือเผาป่าในที่ดินของรัฐโดยมิได้มีสิทธิ์ครอบครองหรือไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ จากนั้นอัยการนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ก่อนนายแทนและพวกได้รับประกันตัวไป โดยศาลนัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 11 พ.ย. เวลา 13.00 น. ที่ศาลอาญา

ด้านพ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล ผู้บัญชาการสำนักคดีผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ กล่าวว่า สำหรับคดีบุกรุกที่ดินเขาแพง อ.เกาะสมุย โดย มีนายแทนและพวกรวม 4 คน ตกเป็น ผู้ต้องหา ซึ่งดีเอสไอสรุปสำนวนคดีทั้งหมดและส่งฟ้องต่ออัยการคดีพิเศษ ล่าสุดรับแจ้งจากอัยการว่ามีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาตามที่ดีเอสไอเสนอ โดยพยานหลักฐานที่ดีเอสไอรวบรวมไว้ถือว่ามีความชัดเจน 100 เปอร์ เซ็นต์ ทั้งพยานเอกสารและนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งบรรจุไว้ในสำนวนคดี โดยเป็นการบ่งชี้ชัดเจนว่าเป็นการบุกรุกที่ดินของรัฐ และเมื่อคดีถึงที่สุด ที่ดินบริเวณดังกล่าวต้องยึดคืนมาเป็นของรัฐ เนื่องจากพื้นที่มีความลาดชันเกิน 35 องศาฯ ซึ่งมีกฎหมายป่าไม้คุ้มครองอยู่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ดีเอสไอเข้ามาตรวจสอบและสรุปว่าการออกเอกสารสิทธิของนายแทนและพวก เป็นการออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ประกอบด้วยการนำ น.ส.3 ก. เกินจากส.ค. 1 จำนวนกว่า 31 ไร่ และการนำ น.ส.3 ก. มาออกเอกสารสิทธิเกินอีก 14 ไร่ นอกจากนี้ หลังออกโฉนดยังสร้างอ่างเก็บน้ำรุกล้ำที่สาธารณะขนาดใหญ่ ปิดกั้น ลำรางสาธารณประโยชน์ที่ไหลจากภูเขา เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้

รวมถึงการก่อสร้างถนนคอนกรีตเสริม เหล็กบนพื้นที่เกิดเหตุ จากเชิงเขาไปถึงยอดเขา และต่อมากรมที่ดินมีคำสั่งให้เพิกถอนเอกสารสิทธิในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งผลการอ่านคำแปลวิเคราะห์ภาพถ่ายทางอากาศของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พบว่าไม่มีร่องรอยการทำประโยชน์ใดๆ ด้วย ทำให้ดีเอสไอเห็นว่าเป็นการกระทำผิด 2 ข้อหาตามพ.ร.บ.ป่าไม้ โดยมีผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ก่อนดีเอสไอสมีความเห็นส่งฟ้องต่ออัยการ