มุมมองพรรคร่วมรัฐบาล - ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่ได้แก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างแท้จริงหรือ?

ข่าวสด 10 สิงหาคม 2556




ฝ่ายค้าน : ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม พ.ศ. .... ที่มีกำหนดอยู่ในระเบียบวาระการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนั้นเป็นความพยายามช่วยเหลือบุคคลเพียงไม่กี่คน เป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ตัวเองและพวกพ้อง ไม่ได้แก้ไขปัญหาให้กับประชาชนอย่างแท้จริง

ข้อเท็จจริง : สถานการณ์ความขัดแย้งของสังคมไทย นั้นยืดเยื้อยาวนานมากว่า 8 ปี (พ.ศ.2548-2556) ทำให้มีประชาชนได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก จากการแสดงออกทางการเมือง พรรคร่วมรัฐบาลจึงได้เสนอผลสำหรับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งครั้งนี้ด้วยการ ผลักดันให้มีการนิรโทษกรรมให้กับประชาชนทุกฟากฝ่าย เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการสร้างความปรองดองของประชาชนและประเทศ โดยตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา และพรรคพลังชล ได้ร่วมกันออกแถลงการณ์สนับสนุน ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม พ.ศ. .... เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้งของสังคมไทย

แถลงการณ์ของพรรคร่วมรัฐบาล เรื่อง พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม

สภาพปัญหา

  สังคมไทยเกิดความขัดแย้ง แตกแยก แบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันมาเป็นเวลานาน ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งที่ฝังลึกในสังคมไทย ทำให้เกิดการกระทำและแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่ขัดต่อกฎหมาย เป็นผลให้เกิดการดำเนินคดี ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน เพียงเพราะมีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน

 ประชาชนส่วนใหญ่เบื่อหน่ายกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ต่างมีความต้องการที่จะให้ประเทศชาติหลุดพ้นจากวิกฤตดังกล่าว ต้องการเห็นคนในสังคมไทยมีความปรองดอง สมานฉันท์

 ประชาชนจำนวนมากต้องตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา มีทั้งถูกจำคุก ไม่ได้ประกันตัวและหลบหนี ส่งผลให้เผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก ขาดความเป็นอิสระ พลัดพรากจากครอบครัว และสูญเสียอาชีพการงาน  และบางส่วนยังมีผลกระทบไปถึงบุคคลในครอบครัว เกิดสภาพบ้านแตกหรือเป็นภาระที่ทำให้การดำเนินชีวิตของครอบครัว ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤต เกิดปัญหาครอบครัว ส่งผลให้เกิดปัญหาในสังคม

แนวทางแก้ไข

  พรรคร่วมรัฐบาลเห็นว่าแนวทางการแก้ไขปัญหาฝังลึกดังกล่าวคือ การให้โอกาสประชาชน เป็นการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมืองตามระบอบประชาธิปไตย เป็นการลดความขัดแย้งทางการเมือง อันจะเป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่จะนำไปสู่ความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ

 ประเทศไทยมีบทเรียนจากการแก้ไขปัญหาด้วยความรุนแรงมาแล้ว (การปฏิวัติ การสลายการชุมนุม) ซึ่งล้วนแต่เป็นการเพิ่มความขัดแย้ง เพิ่มความไม่เข้าใจกัน การให้โอกาสประชาชนดังกล่าว คือการแก้ปัญหาโดยการให้อภัยทุกฝ่าย ไม่ใช้ความอาฆาตแค้น

 พรรคร่วมรัฐบาลจึงเห็นพ้องต้องกันว่า สภาผู้แทนราษฎรควรจะพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง

 การแสดงออกทางการเมืองของประเทศ พ.ศ. .... (ร่างของนายวรชัย เหมะและคณะ) โดยสภาผู้แทนราษฎรได้บรรจุร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยมีหลักการสำคัญที่จะนิรโทษกรรมประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมือง ทุกสี ทุกฝ่าย อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน ระหว่างวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ถึงวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

 การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ถือเป็นวาระปกติ โดยพรรคร่วมรัฐบาลจะไม่นำร่างพระราชบัญญัติอื่นๆ ในทำนองเดียวกันมาพิจารณาร่วมด้วย และใช้วิธีพิจารณาตามข้อบังคับปกติทั่วไป โดยไม่มีข้อยกเว้นหรือเร่งรัดใดๆ เพื่อให้เกิดความรอบคอบและเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติมากที่สุด

ทำความเข้าใจพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม

 พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ฉบับนายวรชัย เหมะและคณะ มีหลักการคือ “ไม่รวมถึงการกระทำใดๆ ของบรรดาผู้ซึ่งมีอำนาจในการตัดสินใจ หรือสั่งการให้มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในห้วงระยะเวลาดังกล่าว” ซึ่งเป็นการนิรโทษกรรมให้ประชาชนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุมเท่านั้น ไม่เกี่ยวข้องกับแกนนำและผู้สั่งการ

 คดีที่ติดค้างกับประชาชนทั้งสองฝ่าย ร้ายแรงไม่แพ้กัน เช่น การก่อการร้าย การยึดสนามบิน ถ้าปล่อยไว้จะกลายเป็นชนักติดหลัง ความสงบจะเกิดขึ้นยาก พระราชบัญญัติฉบับนี้จึงนิรโทษกรรมให้ “ประชาชนทั้งสองฝ่ายอย่างเท่าเทียมกัน  ไม่มีการเลือกข้างใดๆ ทั้งสิ้น”

ผลที่ได้รับ

 เมื่อสังคมมีความสงบสุข ความขัดแย้งทางการเมืองลดน้อยลง จึงเป็นโอกาสของประเทศในการเข้าสู่ความสงบเรียบร้อย มีความมั่นคงหลังจากเราสูญเสียโอกาสแห่งความเจริญก้าวหน้ามาเป็นเวลานาน ซึ่งจะเอื้ออำนวยต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีเสถียรภาพ

 นำประเทศกลับไปสู่ครั้งอดีต เกิดความรัก ความสามัคคีกัน ของคนในชาติ

 ลงชื่อ พรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา พรรคพลังชล (1 ส.ค. 56)

 ที่มา : http://insidethaigov.com/index.php?r=content/view&id=784