"เทือก"โยน ปัดนัว-6ศพวัดปทุม


ข่าวสด 7 มิถุนายน 2556

ยังอ้างยิงตายด้านนอก มีคนร้ายต่อสู้กับจนท. ซัดศพมีคราบเขม่าดินปืน ทนายเหยื่อซักค้าน13มิย.

คิว"เทือก" - นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และผอ.ศอฉ. ขึ้นเบิกความต่อศาลไต่สวนสาเหตุการตาย 6 ศพวัดปทุมวนาราม ช่วงเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 6 มิ.ย.

"เทือก" ขึ้นเบิกความศาลไต่สวนการตาย 6 ศพวัดปทุมฯ โบ้ย "บิ๊กป๊อก" อดีตผบ.ทบ. ก็ร่วมรับผิดชอบ ใน "ศอฉ." ด้วย อ้างอีกมีกองกำลังก่อการร้ายในม็อบเสื้อแดง ใช้อาวุธสงครามยิงใส่เจ้าหน้าที่และประชาชนบาดเจ็บ-ตาย ระบุผลสอบสวนชันสูตรพลิกศพของตำรวจ ชี้ผู้เสียชีวิตทั้ง 6 ราย ตายที่บริเวณอื่น แล้วนำมาวางรวมกันที่ศาลาวัด อีกทั้ง 2 ใน 6 ศพ มีคราบเขม่าดินปืนที่มือในปริมาณที่เชื่อว่าใช้อาวุธมาก่อน ซ้ำยังไม่มีหลักฐาน หรือพยานชี้ชัดว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่



เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลไต่สวนชันสูตรพลิกศพคดีที่พนักงานอัยการ สำนักอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนการเสียชีวิตของนายสุวัน ศรีรักษา อายุ 30 ปี อาชีพเกษตรกร ผู้เสียชีวิตที่ 1 นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้เสียชีวิตที่ 2 นายมงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี อาสามูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ผู้เสียชีวิตที่ 3 นายรพ สุขสถิต อายุ 66 ปี พนักงานขับรถรับจ้างในสนามบิน ผู้เสียชีวิตที่ 4 น.ส.กมนเกด อัคฮาด อายุ 25 ปี อาสาพยาบาล ผู้เสียชีวิตที่ 5 และนายอัครเดช ขันแก้ว อาชีพรับจ้างและอาสาพยาบาล ผู้เสียชีวิตที่ 6 โดยทั้งหมดถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อ วันที่ 19 พ.ค.2553 โดยพนักงานอัยการนำนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี เข้าเบิกความ



นายสุเทพเบิกความสรุปว่า เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2553 รัฐบาลประกาศพ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อระงับการก่อการร้ายในกทม. เนื่องจากมีการชุมนุมของ กลุ่มนปช. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ในขณะนั้น จึงตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) โดยแต่งตั้งพยานเป็น ผอ.ศอฉ. และมีคำสั่งให้เป็นผู้กำกับการปฏิบัติงานและหัวหน้าผู้รับผิดชอบ แต่เมื่อวันที่ 16 เม.ย.2553 มีคำสั่งแต่งตั้งพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. ในขณะนั้น เป็นหัวหน้าผู้รับผิดชอบแทนตน



อดีตผอ.ศอฉ.เบิกความว่า เมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 รัฐบาลขอคืนพื้นที่จากผู้ชุมนุม เพื่อเปิดช่องทางการจราจรบริเวณถนนราชดำเนิน สะพานพระราม 8 และสะพานสมเด็จพระ ปิ่นเกล้า เจ้าหน้าที่มีโล่ กระบอง เครื่องเสียง รถฉีดน้ำ และอาวุธปืนลูกซองบรรจุกระสุนยาง หลังจากการปฏิบัติการทราบว่ามีผู้บาดเจ็บประมาณ 800 คน เจ้าหน้าที่ทหารเสียชีวิต 5 นาย และประชาชนเสียชีวิต 20 กว่าราย เนื่องจากในช่วงค่ำมีกองกำลังของผู้ก่อการร้ายปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม และใช้อาวุธสงครามยิงใส่เจ้าหน้าที่และประชาชน จนมี ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต



นายสุเทพเบิกความต่อว่า หลังจากวันที่ 10 เม.ย.2553 ผู้ชุมนุมยกเลิกการชุมนุมเวทีที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ และมารวมเป็นจุดเดียวที่บริเวณแยกราชประสงค์ พร้อมประกาศจะขยายพื้นที่การชุมนุมไปยังบริเวณสีลมและเยาวราช ซึ่งจะทำให้เกิดความเดือดร้อนอย่างรุนแรงและทำให้เศรษฐกิจเสียหาย เพราะบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่สำคัญด้านธุรกิจของประเทศ ศอฉ.จึงสั่งตั้งด่านตรวจแข็งแรง และประกาศไม่ให้ขบวนของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เคลื่อนไปทำความเสียหายให้บริเวณอื่นๆ



อดีตรองนายกฯ เบิกความว่าแต่รัฐบาลและศอฉ.ไม่ได้มีความประสงค์ที่จะเข้าไปสลายการชุมนุม จึงมีคำสั่งให้ใช้มาตรการกดดันให้ยกเลิกการชุมนุมไปเอง โดยตัดน้ำ ตัดไฟ ตัดสัญญาณโทรศัพท์ ปิดเส้นทางการขนส่งสาธารณะบางสถานที่ เพื่อให้ผู้ชุมนุมไม่ได้รับความสะดวกในการเข้าไปชุมนุม พร้อมปิดกั้นเส้นทางที่จะเข้าไปในพื้นที่การชุมนุม เพื่อป้องกันไม่ให้มีผู้เข้าไปชุมนุมเพิ่ม และป้องกันการนำอาวุธเข้าไปในพื้นที่การชุมนุม



นายสุเทพเบิกความอีกว่า เนื่องจากได้รับรายงานว่ามีผู้ก่อการร้ายปะปนอยู่ในกลุ่ม ผู้ชุมนุม โดยใช้พื้นที่ชุมนุม หลังเวทีชุมนุม และบริเวณสวนลุมพินี ใช้เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 อาวุธปืนเอ็ม 16 และอาวุธปืนอาก้า ยิงเข้าที่ตั้งของเจ้าหน้าที่บริเวณถนนพระราม 4 และสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส ศาลาแดง เป็นเหตุให้ประชาชนและเจ้าหน้าที่เสียชีวิต เมื่อวันที่ 26 เม.ย.2553 ศอฉ.จึงมีคำสั่งให้ตั้งจุดตรวจสกัดแข็งแรงจำนวน 6 จุด ได้แก่ แยกพงษ์พระราม พญาไท อโศกมนตรี ศาลาแดง อังรีดูนังต์ และนราธิวาสราชนครินทร์ ซึ่งเป็นถนนโดยรอบพื้นที่ราชประสงค์ แต่ภายหลังยังมีช่องโหว่ที่ผู้ชุมนุมสามารถเข้าไปได้



อดีตผอ.ศอฉ.เบิกความว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ค.2553 จึงมีคำสั่งให้ตั้งด่านตรวจแข็งแรงอีก 4 จุด ได้แก่ สี่แยกปทุมวัน ถนนราชปรารภ ถนนพระราม 4 และ ถนเพลินจิต พร้อมตั้งจุดสกัดอีก 13 จุด นอกจากนี้ ยังปิดการสัญจรทางรถไฟฟ้า 4 สถานี ได้แก่ ราชดำริ สยาม ชิดลม และเพลินจิต โดยตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.2553 เป็นต้นไป มีการประกาศห้ามใช้เส้นทางคมนาคมหลายแห่ง อาทิ ตั้งแต่ ถนนเพชรบุรี แยกราชเทวีจนถึงสามย่าน แยกวิทยุเข้าทางด่วนเพชรบุรี ถนนพระราม 4 ถึงแยกเฉลิมเผ่า แยกอังรีดูนังต์ และถนนราชปรารภ จากแยกประตูน้ำถึงแยกสารสิน เป็นต้น พร้อมกับปิดการสัญจรทางน้ำด้วย



นายสุเทพเบิกความอีกว่า โดยเมื่อวันที่ 19 พ.ค.2553 ปรับกำลังเจ้าหน้าที่เข้าควบคุมพื้นที่ตามถนนสายต่างๆ บริเวณโดยรอบ สี่แยกราชประสงค์ เพื่อจัดระเบียบควบคุมพื้นที่การจราจร โดยศอฉ.สั่งให้เจ้าหน้าที่เข้าไปยึดคืนพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี เนื่องจากผู้ก่อการร้ายใช้เป็นฐานก่อเหตุทำร้ายเจ้าหน้าที่และประชาชน บริเวณถนนพระราม 4 จนถึงแยกสารสิน ส่วนบริเวณสีลม และถนนราชปรารภ มีการใช้เครื่องยิงลูกระเบิดเอ็ม 79 และอาวุธสงครามอย่างอื่นทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่ พร้อมกับเข้ายึดร.พ.จุฬาลงกรณ์ ของฝ่ายผู้ชุมนุม โดยหลังจากเจ้าหน้าที่เข้ายึดสวนลุมพินีจนถึงแยกสารสินได้แล้ว แกนนำนปช.ประกาศยกเลิกการชุมนุมในเวลา 13.30 น. เศษ และเข้ามอบตัวที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ



อดีตผอ.ศอฉ.เบิกความว่า แต่ยังมีผู้ชุมนุมอยู่หน้าเวทีประมาณ 3,000 คน ศอฉ.จึงสั่งการให้จัดรถนำผู้ชุมนุมกลับภูมิลำเนา ซึ่งมีบางส่วนกลับไปแล้ว แต่บางส่วนเข้าไป หลบภายในวัดปทุมฯ จากนั้นในเวลาตั้งแต่ 14.00 น. เป็นต้นไป มีคนร้ายเข้าไปวางเพลิงเผาสถานที่ต่างๆ ทั้งโรงหนังสยาม เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ และอาคารพาณิชย์อื่นๆ รอบบริเวณ นอกจากนี้ยังเผาสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ด้วย ศอฉ. จึงสั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดกำลังเข้าไปคุ้มครองเจ้าหน้าที่บรรเทาสาธารณภัยที่เข้าไปดับเพลิงตามพื้นที่ต่างๆ แต่ถูกกลุ่มคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงสกัด จึงไม่สามารถเข้าไปได้



"ผมได้ประชุมร่วมกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล และตำรวจภูธรจากจังหวัดต่างๆ เพื่อวางแผนนำผู้ชุมนุมที่อยู่ในวัดปทุมฯ กลับภูมิลำเนาในช่วงเช้าของวันที่ 20 พ.ค. แต่กลับมีหญิงคนหนึ่งโทรศัพท์มาแจ้งนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม ในขณะนั้น ว่าขอให้ส่งรถพยาบาลเข้าไปรับผู้บาดเจ็บภายในวัดปทุมฯ โดยผมทราบจากการรายงานว่า มีคนร้ายใช้อาวุธปืนสงครามยิงทำร้ายประชาชนบาดเจ็บหลายราย ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ" อดีตผอ.ศอฉ.เบิกความ



พยานเบิกความต่อว่า หลังได้รับแจ้ง จึงส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและรถพยาบาลเข้าไปรับผู้บาดเจ็บ แต่ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง ได้รับรายงานว่าไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ เนื่อง จากมีคนร้ายซุ่มยิง ต่อมาได้รับแจ้งจากกระทรวงสาธารณสุขว่า มีรถพยาบาลของอาสาสมัครเข้าไปรับผู้บาดเจ็บออกจากวัดปทุมฯ แล้ว แต่ในวันดังกล่าว ไม่ได้รับรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตในวัดปทุมฯ โดยทราบในวันรุ่งขึ้นว่ามีผู้เสียชีวิต 6 ราย แต่ไม่ทราบว่าเสียชีวิตจากอาวุธชนิดใดและใครเป็นผู้กระทำ



นายสุเทพเบิกความอีกว่า ต่อมาได้รับรายงานจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ถึงความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งบันทึกรายงานการชันสูตรพลิกศพ ผู้เสียชีวิตทั้ง 6 คน มาให้ เบื้องต้นทราบว่าเสียชีวิตจากบริเวณอื่น และนำศพมาวางรวมกันหน้าศาลาราชศรัทธา จากผลการชันสูตรระบุว่าพบผู้เสียชีวิต 2 ราย คือ นายรพ สุขสถิต และนายสุวัน ศรีรักษา มีคราบเขม่าดินปืนที่มือในปริมาณที่เชื่อว่าทั้ง 2 คน ใช้อาวุธมาก่อน ส่วนอีก 4 คน ไม่พบเขม่าดินปืนที่มือแต่อย่างใด เมื่อมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจพยานในสภาผู้แทนราษฎร ทางดีเอสไอทำรายงานข้อเท็จจริงถึงการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมให้ชี้แจงต่อสภา โดยมีสาระสำคัญว่า ไม่มีหลักฐานหรือพยานที่ชี้ชัดว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่หรือผู้ใด พร้อมยืนยันเรื่องเขม่าดินปืนในมือของผู้เสียชีวิตทั้ง 2 คน



อดีตผอ.ศอฉ.พยานเบิกความว่า แต่ต่อมาได้รับรายงานว่าในจำนวนผู้เสียชีวิตมีเหตุที่สงสัยว่า อาจเกี่ยวข้องกับการกระทำของเจ้าหน้าที่ จึงเห็นสมควรให้ตำรวจสอบสวนชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย จากนั้นมีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนชันสูตรพลิกศพ โดยมี พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ เป็นประธาน และภายหลังดีเอสไอแจ้งให้ทราบว่า ในบรรดาผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในการชุมนุมและเหตุจลาจล มีจำนวน 12 คน เป็นการกระทำของกลุ่มนปช. และมี 13 คน น่าจะเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ จึงสั่งให้สืบสวนสอบสวนตามกฎหมาย และพยานเชื่อว่าในการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่เป็นตามขั้นตอนหลักสากล



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการไต่สวนเสร็จสิ้น ฝ่ายทนายญาติผู้ตายแถลงขอซักค้านพยานเพิ่มเติม ศาลจึงให้เลื่อนสืบพยานปากนี้ในนัดไต่สวนครั้งต่อไป วันที่ 13 มิ.ย. เวลา 09.00 น. และในวันนี้ นางพะเยาว์ อัคฮาด และนายณัทพัช อัคฮาด แม่และน้องชายน.ส. กมนเกด เดินทางมาร่วมฟังการไต่สวนด้วย



นายสุเทพให้สัมภาษณ์ภายหลังการไต่สวนว่า เบิกความในฐานะพยานในคดี ที่อัยการขอให้ศาลไต่สวนเกี่ยวกับการเสียชีวิตของนาย สุวัน ศรีรักษา 1 ใน 6 รายที่เสียชีวิตในวัดปทุมฯ โดยเบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น รวมทั้งอธิบายรายละเอียดของคำสั่งต่างๆ ในฐานะผอ.ศอฉ.ที่ออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติ พร้อมทั้งอธิบายถึงเหตุผลในการออกคำสั่งเหล่านั้น ในการปฏิบัติการณ์แต่ละวันและแต่ละครั้ง



"การเบิกความของผมนั้น ไม่มีจุดประสงค์ในการหักล้างพยานหลักฐานใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนที่ผมขอยื่นเอกสารที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้เพิ่มเติม ก็เพื่อเป็นประโยชน์ในการพิจารณาคดี เนื่อง จากมีรายละเอียดที่อัยการไม่ได้นำมาซักถาม ส่วนวันที่ 13 มิ.ย. ทางทนายญาติผู้ตายจะซักถาม ซึ่งผมไม่ทราบว่าจะถามอะไร แต่จะตอบไปตามความเป็นจริง" อดีตผอ.ศอฉ.กล่าว



ผู้สื่อข่าวถามว่าขณะปฏิบัติหน้าที่ในศอฉ. คิดหรือไม่ว่าจะมีคนเสียชีวิตมากมายขนาดนี้ นายสุเทพกล่าวว่าไม่ทราบว่าจะมีคนตายกี่คน เราคาดการณ์ไม่ได้ แต่ไม่มีเจตนาจะให้ใครตายทั้งสิ้น เพราะเพียงแต่ต้องการรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเท่านั้น เมื่อถามว่าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่าขอไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ แล้ว