ข่าวสดออนไลน์
พุธที่
29 พฤษภาคม 56 พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. เป็นประธานจัดสวดนพเคราะห์
ป้องกันบ้านเมืองวุ่นวาย ณ วัดไตรมิตรวิทยาราม ถัดมา 5 วัน อาทิตย์ที่ 2
มิถุนายน เกิดปรากฏการณ์ หน้ากากขาว-หน้ากากแดง ตัวเป็นๆ
โผล่ขึ้นมาจากโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก หรือ โลกเสมือน
"หน้ากากขาว"
ชุมนุมหน้าห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์ โดยใส่หน้ากากขาว "กาย ฟอว์กส์"
อันเป็นตัวเอกจากภาพยนตร์ วี ฟอร์ เวนเดตต้า
พร้อมกับถือป้ายที่มีข้อความต่อต้านรัฐบาลและระบอบทักษิณ ที่ว่า
"ขณะนี้กองทัพประชาชนได้ลุกขึ้นมาแล้ว ข้าขอประกาศว่า
ข้าจะล้มล้างระบอบทักษิณให้ออกจากประเทศไทย"
วันเดียวกัน
อีกด้านหนึ่งของสยามสแควร์
หน้ากากแดงชุมนุมบริเวณด้านล่างสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส โดยใช้ชื่อ
กลุ่มอุลตร้าแดง แดงสยิว กลุ่มนี้นำโดย นายปกรณ์ พรชีวางกูร
สวมใส่หน้ากากสีแดงเป็นสัญลักษณ์
นายปกรณ์เรียกร้องให้กลุ่มหน้ากาก
ขาวเปลี่ยนสัญลักษณ์หน้ากากในการเคลื่อนไหวเพราะสัญลักษณ์หน้ากากขาวดัง
กล่าว เป็นสัญลักษณ์ของการล้มสถาบันกษัตริย์ในยุโรป
โดยกลุ่มหน้ากากแเดงกังวลและเห็นว่าเป็นเรื่องมิบังควร
จึงออกมาเคลื่อนไหวแสดงจุดยืนปกป้องสถาบัน
อย่างไรก็ตาม ป้ายหนึ่งที่โผล่กลางม็อบหน้ากากแดง เขียนว่า "เรารักอภิสิทธิ์"
กลุ่ม
หน้ากากแดงได้ร่วมกันร้องเพลงชาติ เวลา 18.00 น. ก่อนแยกย้ายสลายการชุมนุม
จากนั้น ความเคลื่อนไหวของกลุ่มหน้ากากแดงก็เงียบหายไป
แต่ที่ยังไม่
เลิกง่ายๆ คือ หน้ากากขาวที่เคลื่อนขบวนไปพร้อมๆ กับกลุ่มไทยสปริง และกลุ่ม
นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ แกนนำแนวร่วมคนไทยรักชาติรักแผ่นดิน
กลุ่มม็อบที่คัดค้านอำนาจศาลโลกในข้อพิพาทคดีเขาพระวิหาร
"ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ" แกนนำ นปช. และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ แยกแยะหน้ากากขาว-หน้ากากแดง ไว้อย่างน่าสนใจว่า
"หน้ากาก
แดงเป็นมวลชนที่เห็นต่างจากหน้ากากขาว ไม่ใช่คนเสื้อแดง
แต่ไม่ว่าฝ่ายใดขอให้มีสติ รับผิดชอบต่อการเคลื่อนไหว
ที่มีจุดยืนประชาธิปไตยสังคมยอมรับได้ แต่หากรับใช้เผด็จการก็เป็นอีกอย่าง
วันนี้มีการยั่วยุให้หน้ากากแดงชนกับหน้ากากขาว
โดยมีคนกลุ่มหนึ่งนั่งรอหน้ากากเสืออยู่
ซึ่งจะมีบางอำนาจใส่หน้ากากเสือออกมาล้มรัฐบาล ผมไม่ได้ประมาทใคร
แต่ทุกอย่างต้องจับตาอย่างรอบคอบ"
แต่ที่ดุเดือดไปกว่านั้น คือ
"ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง" รองนายกรัฐมนตรีคนที่ 1
ผู้กำกับดูแลฝ่ายความมั่นคง และ "รักษาการนายกฯ" ที่ออกมาแฉว่า หาก
"นักธุรกิจ 3 คน"
ประกอบด้วย
"นายธนาคาร-พ่อค้าหมูเห็ดเป็ดไก่-คนขายของมึนเมา"
ไม่ให้เงินสนับสนุนผู้ชุมนุม เรื่องก็จบ แต่ถ้า 3 นักธุรกิจ
ไม่เลิกจ่ายเงินสนับสนุน...จะประจาน
ถัดมาสารวัตรเฉลิมเปิดอีกหนึ่ง
นักธุรกิจที่หนุนม็อบ นั่นคือ
อดีตนักธุรกิจสื่อสารที่ได้เมียสวยมีข่าวไปทั้งประเทศ ยังพยายามไปสนับสนุน
เพราะมีลูกน้องตกค้างอยู่ในแวดวงที่คิดล้มรัฐบาล
ล่าสุด
สารวัตรเฉลิมต่อจิ๊กซอว์การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่อต้านรัฐบาล ว่า
เป็นขบวนการเดิมที่เคยเคลื่อนไหวในปี 2548-2549
จากการพูดคุยกับชุดสืบสวนสันติบาลชัดเจนว่าข้อมูลตรงกัน เห็นเส้นทางหมด
ส่วน
อักษรย่อ "ส." เป็นคนตัวดำๆ เตี้ยๆ ทำข่าวอยู่สถานีหนึ่ง
เป็นตัวประสานมือสั่น ทุกวันเวลา 11.00 น.
ไปสมรู้ร่วมคิดแถวสุขุมวิทกับพวกที่เอาไม้เมตรไปวัดที่สุวรรณภูมิ
ไม่ได้ขัดแย้งผลประโยชน์แต่เป็นพวกริษยามารวมตัวกันป่วนเมือง
คนในรัฐบาลเชื่อตรงกันว่า "หน้ากากขาวและเครือข่ายเคลื่อนไหวเชื่อมโยงกันหมด และครึ่งปีหลังม็อบการเมืองมาเยอะแน่"
ถ้า
มองหน้ากากขาว ผ่านสายตา "ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์"
ประธานหลักสูตรรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต กลับมองว่า
กลุ่มหน้ากากขาวมีจุดยืนที่ไม่สนับสนุนรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยที่มาจากการ
เลือกตั้ง เป็นการปรากฏตัวที่ผิดยุคสมัย
การขยายตัวในอนาคตจึงน่าจะจำกัดตัวอยู่ภายในคนแค่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น
แต่
มุมมองไกลๆ ออกมาจาก "ยุกติ มุกดาวิจิตร"
อาจารย์คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่มองว่า
ภาพที่ลึกกว่านั้นก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า ฝ่ายเหลืองมีจำนวนประชากรน้อยกว่า
เลือกตั้งกี่ทีก็แพ้
การต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตยตัวแทนจึงไม่มีวันประสบชัยชนะเหนือฝ่ายแดงได้
แต่จำนวนประชากรของผู้สนับสนุนอุดมการณ์ประชาธิปไตยตัวแทนเติบโตมากขึ้น
เรื่อยๆ ในระยะ 10 กว่าปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เพราะการที่รัฐธรรมนูญ
2540 ออกแบบให้พรรคการเมืองต้องมีขนาดใหญ่และมีความเข้มแข็ง
ภาวการณ์เช่นนี้จึงเอื้อให้พรรคการเมืองมีอำนาจในการกำหนดนโยบายได้จริง
และจึงสามารถดำเนินนโยบายที่ถูกใจผู้ลงคะแนนเสียงได้
นี่นับได้ว่าเป็นครั้งแรกๆ
ในประวัติศาสตร์ประชาธิปไตยไทยที่เสียงของผู้หย่อนบัตรมีอิทธิพลต่อการกำหนด
นโยบาย
นี่อาจจะเร็วเกินไปที่จะสรุปว่าสังคมไทยกำลังก้าวข้ามไปสู่
การเมืองสลายสีเสื้อ หรือมีสีเสื้อที่เจือจางลง
หากแต่ความเปลี่ยนแปลงนี้น่าสังเกตเป็นอย่างยิ่งว่า ท้ายที่สุดแล้ว
การเมืองสีเสื้อจะพัฒนาไปอย่างไรต่อไป และพัฒนาการเชิงคุณภาพ
เชิงอุดมการณ์ของในแต่ละสีเสื้อจะดำเนินต่อไปอย่างไร
ภายในแต่ละกลุ่มสีเสื้อเองจะต่อรองกันอย่างไร
นี่อาจเป็นอนาคตที่น่าจับตามองมากกว่าปรากฏการณ์หน้ากากขาว หน้ากากเหลือง และหน้ากากเสือ!!!
ที่มา : ในประเทศ มติชนสุดสัปดาห์ 7 มิถุนายน 2556

