ศึก "เพื่อไทย" รุกแก้ รธน. โละรายมาตรา สับขารื้อทั้งฉบับ ปิดบัญชีตุลาการภิวัตน์

มติชนออนไลน์

ุ6 มีนาคม 2556



การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่) พ.ศ. จำนวน 3 ฉบับ ที่ถูกเข็นเข้าสู่วาระการประชุมของทั้ง 2 สภา ด้วยการลงชื่อของ ส.ส.และ ส.ว. กว่า 600 คน

ร่างที่ 1 "อุดมเดช รัตนเสถียร" ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย เป็นเจ้าของร่าง ยื่นแก้ไขประเด็นที่มาของ ส.ว.

ร่างที่ 2 "ดิเรก ถึงฝั่ง" ส.ว.นนทบุรี เป็นผู้ยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ตัดมาตรา 237 ในประเด็นการยุบพรรคการเมือง และยกเลิกการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี

ส่วนมาตรา 68 จำกัดให้การร้องเรียนในกรณีพบเห็นการกระทำล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จะต้องยื่นผ่านการตรวจสอบจากอัยการสูงสุดเพียงอย่างเดียว

ร่างที่ 3 เป็นของ "ประสิทธิ โพธสุธน" ส.ว.สุพรรณบุรี เป็นผู้ยื่นให้แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เกี่ยวกับการทำหนังสือสัญญากับนานาประเทศ หรือองค์การระหว่างประเทศ

ทั้ง 3 ร่าง หลังจากรัฐสภารับหลักการวาระ 1 จะเข้าสู่การแปรญัตติ มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมา 3 ชุด รวบรวมทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และ ส.ว. เบ็ดเสร็จชุดละ 45 คน เพื่อแปรญัตติในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งพรรคเพื่อไทยมีการวางคนในกรรมาธิการต่าง ๆ

ครบถ้วนตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมีนาคมพร้อมทั้งกำหนดไทม์ไลน์ทั้ง 3 ร่างร่วมกับ ส.ว.สายเลือกตั้ง ที่ร่วมกันยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยคาดว่าจะพิจารณาแปรญัตติในวาระที่ 1 แล้วเสร็จไม่เกิน 1 เดือน หลังจากนั้นจะเข้าสู่การลงมติในวาระที่ 2 และ 3 ช่วงเดือนสิงหาคมถึงกันยายน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไป

คำนวณเวลาบวก-ลบ เผื่อเหลือ เผื่อขาดสำหรับให้เวลาฝ่ายค้านถ่วงเวลาสำหรับในการแปรญัตติวาระที่ 2 ประมาณ 1 เดือน

โดยคาดว่าจะมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่แก้ไขเพิ่มเติมใช้เป็นครั้งที่ 2 ไม่เกินสิ้นปี หลังจากการแก้ไขครั้งแรกเกิดขึ้นในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

หากแต่สาระสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราครั้งนี้ มิได้พุ่งเป้าเพียงแค่ลดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญในการรับเรื่องการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเท่านั้น

เพราะการแก้ไขมาตรา 68 เพื่อลดอำนาจศาล เป็นเพียงแค่ "ยกแรก" หาก "ยกสอง" เป็นเป้าหมายรองลงมาคือ เกมนิติบัญญัติที่จะเกิดขึ้นในการประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไป ช่วงเดือนสิงหาคม-ปลายพฤศจิกายน

ซึ่งจะมีการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ ที่บังคับให้องค์กรอิสระที่เกิดขึ้นจากรัฐธรรมนูญ 2550 ต้องมีกฎหมายลูกขึ้นมาประกอบ แต่ผ่านมาเกือบ 6 ปีร่างฉบับนี้ยังค้างอยู่ในสภา

เพราะฝ่าย ส.ส.และฝ่ายศาล ต่างงัดข้อ-ประลองกำลัง ไม่มีฝ่ายใดยอมเสียประโยชน์ โดยเฉพาะอำนาจการไต่สวนของศาลที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทยต้องการ "เปลี่ยน" ระบบการไต่สวนของศาลทั้งหมด จากเดิมให้คู่ความมาหักล้างพยานหลักฐานกันต่อหน้าศาล และศาลที่นั่งอยู่บนบัลลังก์จะทำหน้าที่วินิจฉัยคดี ซึ่งเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาเป็นระบบไต่สวนที่ศาลลงไปหาข้อมูลเอง ไม่ใช่นั่งฟังอยู่บนบัลลังก์เฉยๆ เท่านั้น หากแต่ฝ่ายศาลรัฐธรรมนูญไม่ยอมปรับเปลี่ยน อยากให้ "คงไว้" เช่นเดิม

โดยร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ขณะนี้ถูกบรรจุเข้าสู่วาระการประชุมแล้ว และยังรอเลื่อนเข้าสู่วาระการพิจารณาของสภา โดยคาดว่าจะนำเข้าสู่การพิจารณาของสภาได้หลังจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับผ่านการลงมติในวาระที่ 3 แล้ว

เป็นการปิดเกม-ลดอำนาจตุลาการภิวัตน์

เช่นเดียวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนที่มาของ ส.ว.ซึ่งจะถูกแก้ไขกติกาให้มี ส.ว. 200 คน มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด จากเดิมที่มีอยู่ 150 คน แบ่งเป็น ส.ว,เลือกตั้ง 77 คน และ ส.ว.สรรหาอีก 73 คน

แหล่งข่าวจาก ส.ว.สายสรรหา อันเป็นกลุ่มที่คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องที่มา ส.ว. ทำนายทิศทาง หาก ส.ว.มาจากการเลือกตั้ง 200 คนว่า สถานการณ์จะย้อนกลับไปสู่ ส.ว.รูปแบบเดิมก่อนเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ทั้งสภาบน (ส.ว.) และสภาล่าง (ส.ส.) เป็นพวกเดียวกัน เนื่องจาก ส.ว.สายเลือกตั้งถ้าไม่สังกัดพรรคการเมืองก็จะไม่มีฐานเสียงเป็นของตนเอง และมีโอกาสน้อยที่จะได้รับเลือกตั้ง เว้นแต่เป็นบุคคลที่มีคะแนนนิยมส่วนตัว ซึ่ง ส.ว.ประเภทนี้มีจำนวนน้อย

"โดยเฉพาะอำนาจของ ส.ว.ที่เกิดจากรัฐธรรมนูญ 2550 มีอำนาจมหาศาล ทั้งการแต่งตั้ง ถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือแต่งตั้งองค์กรอิสระ แม้การแต่งตั้งองค์กรอิสระอย่าง กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ หรือผู้ตรวจการแผ่นดิน จะผ่านการคัดเลือกมาจากคณะกรรมการสรรหา แต่ก็ต้องผ่านการรับความเห็นชอบจากที่ประชุมของ ส.ว. หาก ส.ว.มาจากฐานของฝ่ายการเมืองทั้งหมด ก็จะมีส่วนในการประทับตรา หรือเลือกบุคคลที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับฝ่ายการเมืองเข้าไปดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระได้"

ดังนั้นไม่ว่าการแก้ไขมาตรา 68 เรื่องการจำกัดอำนาจศาล ไม่ว่าแก้ไขเรื่องที่มาของ ส.ว. ล้วนแต่แหลมคมต่อกระบวนการตุลาการภิวัตน์ทั้งสิ้น

และเมื่อกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรากำลังเดินหน้าและปรากฏผลลัพธ์เป็นรูปร่าง ใช่ว่ากระบวนการ-แนวร่วมที่ขับเคลื่อนเส้นทาง "ยกร่างรัฐธรรมนูญ" จะหยุดนิ่งหรือล้มเลิกความตั้งใจเพราะเป็นเป้าหมายปลายทางที่พรรคเพื่อไทยต้องการยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง "ล้มรัฐธรรมนูญฉบับรัฐประหาร" กลายเป็นขาที่ 2 พุ่งเป้าล้ม-รื้อ-จัดระเบียบองค์กรอิสระ และโครงสร้างตุลาการภิวัตน์เป็นดาบสำคัญ-เป้าหมายสุดท้าย

ที่ตกอยู่ในภาระรับผิดชอบของ "พงศ์เทพ เทพกาญจนา" รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ศึกษาธิการ หลังรับไม้ต่อจากคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลที่มี "โภคิน พลกุล" เป็นประธาน

ตั้งแต่เดือนมกราคม 2556 "พงศ์เทพและคณะ" จุดพลุศึกษาแนวทางประชามติ ปูทางยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยชงเรื่องให้ 3 สถาบันการศึกษาศึกษาความเป็นไปได้ภายใน 60 วัน ประกอบด้วย มหาวิทยาลัยรามคำแหง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ล่าสุดครบกำหนด 60 วัน คำตอบ ความเห็น แนวทางการจัดทำประชามติ ยังถูกปิดเงียบ แต่ผุดปัญหาทางเทคนิค จากข้อเรียกร้องของ 1 ใน 3 สถาบันต้องการงบประมาณในการดำเนินการ

แต่ "พงศ์เทพ" บอกว่า แม้การดำเนินการจะส่อแววยืดเยื้อ ช้ากว่ากำหนด แต่ยังพูดไม่ได้ว่าจะยกเลิกแนวทางนี้

"บางสถาบันที่ไม่ได้ของบประมาณ ก็ได้ทำความเห็นกลับมาแล้ว แต่บางสถาบันก็ต้องรอกระบวนการหน่อย แต่คาดว่าจะเสร็จในช่วงเดือนพฤษภาคม"

"หากถามถึงความเป็นไปได้ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่ทันสมัยรัฐบาลนี้ ผมขอเรียนว่า ถ้าสุดท้ายเราจำเป็นต้องมี ส.ส.ร.เพื่อมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เขาไม่ได้มีผลผูกพันกับรัฐบาล หรือรัฐสภา เราอาจจะครบวาระก่อน แต่ ส.ส.ร.ก็ยังเดินอยู่ แต่สิ่งที่ผมบอก ไม่ได้หมายความว่าสุดท้ายเราจะมี ส.ส.ร.นะครับ"

เมื่อกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถูกแบ่งออกเป็น 2 ขา ทั้งแก้ไขรายมาตรา-ยกร่างทั้งฉบับ หากพรรคเพื่อไทยเลือกเดิน 2 ขาพร้อมกัน "พงศ์เทพ" บอกว่า ทำได้ ไม่มีความผิด

"กระบวนการยกร่างทั้งฉบับเราต้องใช้เวลาเป็นปี ระหว่างทางอาจมีคนเห็นว่าบางเรื่องจำเป็นต้องรีบแก้ไขเขาก็ทำได้ ถือว่าเป็นสิทธิ์ที่พึงกระทำ ก็ไม่ได้ผิดอะไร"

"สิ่งที่กำลังแก้รายมาตราก่อนขณะนี้ ก็อาจมีความจำเป็นเร่งด่วน แต่เรียนว่าเขายังไม่ได้แตะเรื่องปัญหาโครงสร้างเลยสักนิด ที่ผมกำลังพูดคือ การยกร่างทั้งฉบับเพื่อเข้าไปจัดสรรอำนาจการดุลและการคานอำนาจใหม่"

"พงศ์เทพ" ยังยืนยันแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ มีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดระเบียบองค์กรอิสระ ไม่ใช่เพื่อล้มมาตรา 309 เคลียร์คดีเปิดทางให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กลับสู่ประเทศ

"เมื่อก่อนเรามีเพียงอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ก็มีระบบถ่วงดุล แต่ภายหลังเรามีองค์กรอิสระเพิ่มขึ้น เขามีอำนาจเยอะ แต่กลับกันไม่มีใครสามารถตรวจสอบคุณได้ นี่มันทำให้ดุลอำนาจเสีย"

"ก็เหมือนกับเราสร้างบ้าน ที่ตอนนี้มี 4 เสาค้ำจุนกัน แต่มีคนเข้ามาวางระบบใหม่ ทำให้ 2 เสาอ่อนแอ แม้เสาอื่นจะแข็งแรงก็ไม่มีความสมดุล สุดท้ายบ้านก็ทรุดลงได้"

"เราคิดว่าควรจะมีองค์กรอิสระ มันก็ต้องมีที่มาให้ชัดเจน ต้องคิดว่ามาอย่างไรให้มีความน่าเชื่อถือ ถามว่าให้ผมเป็นคนตั้งไหมล่ะ คนจะเอาไหมล่ะ แน่นอนว่าไม่มีใครเอา ดังนั้นเมื่อเราอยู่ในระบอบประชาธิปไตยต้องเชื่อถือประชาชนทุกอย่างต้องยึดโยงกับประชาชนดีที่สุด"

เป็นการเดิน 2 ขาของพรรคเพื่อไทย ขาที่ 1 เดินเกมแก้ไขรายมาตรา ขาที่ 2 ต่อยอดจากขาที่ 1 เพื่อโละ-รื้อ-จัดระเบียบองค์กรอิสระ และชิงปิดบัญชีตุลาการภิวัตน์