มติเสียงข้างมากของศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องของกลุ่มสมาชิก
วุฒิสภา(สว.)สรรหานำโดยนายสมชาย
แสวงการที่ให้วินิจฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และ 237
ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 68
กำลังเป็นปมร้อนโดยประเด็นน่าสนใจที่ต้องจับตา 2 ก็คือ
ท่าทีของขบวนการระบอบทักษิณที่ยึดหลักกูเป็นใหญ่แสดงความแข็งกร้าวประกาศ
อาฆาตเตรียมเอาคืนศาลรัฐธรรมนูญเลยเถิดไปถึงขั้นขู่ตอบโต้ฝ่ายที่ถูกอ้างว่า
เป็นอำมาตย์ ขณะเดียวกันต้องจับตาชะตากรรมของ 312
ส.ส.และสว.ที่ร่วมลงชื่อขบวนการชำเรารัฐธรรมนูญครั้งนี้
หลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติมีข่าวว่าบรรดาทีมกฏหมายระบอบทักษิณนำโดย นายโภคิน พลกุล นายชูศักดิ์ ศิรินิล นายวิชิต ชื่นบาน ต่างหารือกันอย่างเคร่งเครียดเพื่อหาช่องกฏหมายแก้เกมเพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าต่อไปได้ตามเป้าหมายของนายใหญ่จากแดนไกล
ขณะที่อีกด้านหนึ่งบรรดาแกนนำ
ส.ส.พรรคเพื่อไทยและกลุ่มคนเสื้อแดงพากันเรียงหน้าออกมาประกาศกร้าวข่มขู่
พร้อมเอาคืนศาลรัฐธรรมนูญ โดย นายจตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ย้ำว่าต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรื้อศาลรัฐธรรมนูญไม่ว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด
ส่วน น.พ.เหวง โตจิราการ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และพวกเปิด
แถลงข่าวประกาศกร้าวไม่ยอมรับมติศาลรัฐธรรมนูญโดยจะมีการแจ้งความเอาผิดกับ
คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามมาตรา 157
ของประมวลกฏหมายอาญา
ด้าน นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง จี้
รัฐสภาเดินหน้าลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 3
ไปเลยโดยไม่ต้องไปสนใจศาลรัฐธรรมนูญอีก
เพราะสัญญาณต่างๆที่ออกมาจากฝ่ายอำมาตย์แรงมาก
ซึ่งนี่คือยกแรกเท่านั้นในการต่อสู้กับฝ่ายอำมาตย์ที่ยังตามเล่นงานไม่เลิก
นายสมหวัง อักษรราสี แกนนำคนเสื้อแดง ย้ำว่า
เมื่อกระบวนการยุติธรรมไม่เป็นธรรม คนเสื้อแดงจะไม่ทนอีกต่อไปแล้ว
คนเสื้อแดงทั่วประเทศเตรียมตัวให้ดี
เพราะพวกองค์กรอำมาตย์กำลังเริ่มทำงานแล้วเราจะเป่านกหวีดพร้อมกัน
มาทางด้านมติของศาลรัฐธรรมนูญที่รับคำร้องของกลุ่ม
สว.สรรหาไว้พิจารณาโดยจะมีการเชิญ 312
ส.ส.และสว.ที่ร่วมยื่นการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้มาชี้แจงก่อนที่จะมีคำ
วินิจฉัยว่า การแก้ไขมาตรา 68
ด้วยการตัดสิทธิของประชาชนในการยื่นคำร้องกรณีพบการกระทำที่เข้าข่ายเป็นการ
รล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
รวมทั้งยกเลิกอำนาจในการรับเรื่องร้องเรียนของศาลรัฐธรรมนูญตามที่ระบุไว้ใน
รัฐธรรมนูญปัจจุบันโดยกำหนดให้ยื่นเรื่องได้เฉพาะกับอัยการสูงสุดเพียงช่อง
ทางเดียวเท่านั้นเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยมาแล้วว่า
ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรับเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 68
ที่สำคัญการแก้ไขมาตรา 68
ยังส่อเจตนาอาศัยสำนักงานอัยการสูงสุดซึ่งถูกตั้งข้อสงสัยมาตลอดว่ารับใช้
ระบอบทักษิณเป็นเครื่องมือให้สามารถเดินหน้าผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา
291 ที่ค้างอยู่ในวาระที่ 3
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการแก้ไขมาตรา 291
ขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ซึ่งหากผ่านร่างแก้ไขมาตรา 291
สำเร็จก็จะเข้าแผนระบอบทักษิณในการผลักดันสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.
ร.)ร่างทรงเพื่อชำเรารัฐธรรมนูญปัจจุบันแล้วยกร่างใหม่ทั้งฉบับปูทางให้
ระบอบทักษิณยึดอำนาจประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ดังนั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 68
ของขบวนการระบอบทักษิณจึงเป็นเพียงการพลิกแพลงวิธีการ
แต่ยังคงเป้าหมายเดิมคือมุ่งที่จะผ่านร่างแก้ไขมาตรา 291 ให้ได้
ทั้งๆที่อาจเข้าข่ายความผิดฐานล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระ
มหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ดังนั้นแนวโน้มที่ต้องจับตาคือ
หากต่อไปศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดว่าการแก้ไขมาตรา 68 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 6
พรรคร่วมรัฐบาลคือพรรคเพื่อไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา พรรคหลังชล
พรรคมหาชนและพรรคประชาธิปไตยใหม่ รวมทั้ง
312ส.ส.และสว.ที่ร่วมยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้มีสิทธิตายหมู่ทางการเมือง
ยกแก๊งแบบหอกสนองคืนด้วยมาตรา 68 ที่ตัวเองยื่นแก้ไขนี่เอง

