9.00 น. 20 ธ.ค.นี้ ศาลอาญารัชดานัดฟังคำสั่งไต่สวนการตาย “อีชา” เด็กกำพร้าวัย 12 ปี เหยื่อกระสุน 15 พ.ค.53 ช่วงกระชับวงล้อมเสื้อแดง ของ ศอฉ. ทนายญาติเชื่อคำสั่งเหมือนคดี “พัน คำกอง” เนื่องจากเหตุการณ์และพยานหลักฐานชุดเดียว
ในวันพรุ่งนี้ (20 ธ.ค.55) เวลา 09.00 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 804 ศาลอาญา รัชดา ศาลได้นัดฟังคำสั่งคดีเลขที่ อช. 3/2555 ในคดีที่พนักงานอัยการจากสำนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา 8 สำนักงานอัยการสูงสุด ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนการเสียชีวิตของ ด.ช.คุณากร ศรีสุวรรณ หรือ “อีซา” อายุ 12 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิตจากบาดแผลกระสุนปืนความเร็วสูงที่หลังทะลุเข้าช่องท้องทำให้เลือดออกมากในช่องท้อง เมื่อวันที่ 15 พ.ค. เวลาหลังเทียงคืน ที่บริเวณใต้แอร์พอร์ตลิงค์ ปาก ซ.หมอเหล็ง หน้าโรงภาพยนตร์ โอเอ ถนนราชปรารภ ช่วงที่มีการกระชับวงล้อมผู้ชุมนุมเสื้อแดงโดย ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.)และรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ซึ่งการไต่สวนและคำสั่งดังกล่าวเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 เพื่อแสดงว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน ตายเมื่อใด เหตุและพฤติการณ์ที่ตาย เกี่ยวกับการไต่สวนการเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องจากการสลายการ ชุมนุมของ นปช. ช่วง เมษา – พ.ค. 53 นั้น ศาลได้มีคำสั่งว่าเป็นการเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ทหารมาแล้ว 3 คดี คือ คดีนายพัน คำกอง คดี นายชาญณรงค์ พลศรีลา และล่าสุดเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.ที่ผ่านมาคือคดีนายชาติชาย ชาเหลา โดยเฉพาะคดีนายพัน ดีเอสไอได้นำพยานหลักฐานจากคำสั่งไปแจ้งข้อหาต่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และอดีต ผอ.ศอฉ. ในข้อหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผลด้วย
รวมทั้งในวันที่ 16 ม.ค.ที่จะถึงนี้ ศาลก็ได้นัดฟังคำสั่งในคดีของนายบุญมี เริ่มสุข อายุ 71 ปี อีกเช่นกัน ซึ่งนายบุญมีถูกยิงที่ย่านบ่อนไก่ บริเวณท้อง ด้านซ้ายกระสุนตัดลำไส้เล็กขาดตอน เมื่อวันที่ 14 พ.ค.53 และเสียชีวิตเมื่อ วันที่ 28 ก.ค.53
โดยนายโชคชัย อ่างแก้ว ทนายความญาติผู้เสียชีวิต ได้กล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยว่าการเสียชีวิตของ ด.ช.อีชา นี้ เป็นเหตุการณ์เดียวกับ ‘พัน คำกอง’ ที่ศาลได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 17 ก.ย.ที่ผ่านมา ว่าเป็นการเสียชีวิตจากเจ้าหน้าที่ทหาร โดยใช้พยานหลักฐานชุดเดียวกัน จึงเชื่อได้ว่าคำสั่งน่าจะออกมาในลักษณะเดียวกัน
และจากการเบิกความของประจักษ์พยานที่ผ่านมาโดยเฉพาะนายสมร ไหมทอง คนขับรถตู้ที่ถูกทหารยิงสกัดจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ซึ่งเป็นพยานในคดีนายพันด้วยนั้น ได้เบิกความในคดีนี้ว่าขณะเกิดเหตุขณะตนขับรถตู่มาแล้วถูกระดมยิง โดยไม่ได้ยินการประกาศเตือนห้ามไม่ให้ขับเข้ามาของเจ้าหน้าที่ทหารที่อยู่บริเวณนั้น จึงได้รับบาดเจ็บและเป็นกระสุนขนาด .223(5.56 มม.) ซึ่งเป็นกระสุนชนิดเดียวกับที่อยู่ในร่างนายพัน และตามคำสั่งของศาลในคดีนายพันเอง ศาลก็ระบุว่าด้วยพยานหลักฐานทั้งหมดชี้ว่านายพันถูกกระสุนปืนขนาด .223 จากอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ทหารที่ร่วมกันยิงไปยังรถตู้ที่วิ่งเข้ามายังพื้นที่หวงห้ามแล้วกระสุนไปโดนผู้ตายที่ออกมาดูเหตุการณ์
สภาพรถตู้นายสมร หลังถูกระดมยิง
นายโชคชัย ได้กล่าวกับ มติชนออนไลน์ ด้วยว่า หากศาลมีคำสั่งว่าการเสียชีวิตของน้องอีซา เกิดจากฝีมือของเจ้าหน้าที่จริง ก็จะสรุปสำนวนส่งไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดต่อไป อย่างไรก็ตามในวันพรุ่งนี้ นายสมศักดิ์ วันแอเลาะห์ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง องค์กรสงเคราะห์ มุสลิมนานาชาติ ซึ่งเป็นผู้ปกครองของน้องอีซา จะเดินทางมาร่วมฟังคำสั่งของศาลด้วย
ซึ่งก่อนเสียชีวิต ด.ช.อีชา อาศัยอยู่บ้านอัซซัยยิดะฮ นะฟีซะฮ ซัมสุ ซึ่งเป็นบ้านสงเคราะห์และฝึกฝนวิชาชีพเด็กกำพร้า
เนชั่นทีวีรายงานขณะเกิดเหตุ เด็กถูกลูกหลงตาย
จากรายงานข่าวของ ธนานุช สงวนศักดิ์ ผู้สื่อข่าวเนชั่นทีวี เมื่อวันที่ 15 พ.ค.53 ได้รายงานสดจากที่เกิดเหตุผ่านรายการเก็บตกเนชั่น ว่า “มีการประกาศเตือนแล้ว มีการยิงด้วยกระสุนยางแล้ว แต่ว่าคุณสมร (คนขับรถตู้) ก็ยังขับมา ดิฉันอยู่ตรงนั้นตรงที่เกิดเหตุจริง (คนขับรถตู้) ก็ฝ่าฝืนขับเข้ามาชนตรงรั้วลวดหนาม ก็เลยมีการระดมยิงกันเข้าไป คุณสมร ไหมทอง ก็เลยได้รับบาดเจ็บ แต่นอกจากคุณสมรแล้ว ตรงนี้ยังมีเด็กอีก 1 คน ซึ่งไม่ทราบชื่อเสียชีวิตด้วย (ด.ช.คุณากร) เพราะถูกลูกหลง เด็กคนนี้จะมานอนเล่นแถวบังเกอร์ของทหาร ช่วงแรกทหารก็มีการไล่ให้กลับไปบ้าน แต่ก็ไม่กลับ พอดีมีการระดมยิงเข้าไปเด็กคนนี้ก็เลยเสียชีวิตด้วย นอกจากเด็กคนนี้แล้วยังมี คุณพัน คำกอง เสียชีวิตด้วย"