ข่าวสด 14 พฤศจิกายน 2555 >>>
เมื่อ วันที่ 13 พ.ย. ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ศาลนัดไต่สวนคดีที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ ยื่นคำร้องให้ศาลไต่สวนการเสียชีวิตของนายฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพสำนักข่าวรอยเตอร์ ชาวญี่ปุ่น นายวสันต์ ภู่ทอง และนายทศชัย เมฆงามฟ้า ผู้ชุมนุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ทั้ง 3 คนถูกยิงเสียชีวิตที่บริเวณโรงเรียนสตรีวิทยา อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ในเหตุการณ์สลายม็อบเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 โดยพนักงานอัยการนำนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ในฐานะแกนนำนปช. และ วีระกานต์ หรือวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธานนปช. ขึ้นเบิกความ
นายณัฐวุฒิเบิกความสรุปว่า วันที่ 10 เม.ย.2553 อยู่ที่เวทีชุมนุมแยกราชประสงค์ ทราบ ข่าวว่ารัฐบาลจะส่งกำลังเจ้าหน้าที่มาสลายการชุมนุมที่เวทีสะพานผ่านฟ้า ลีลาศ จนกระทั่งเวลา 18.00 น. ได้รับแจ้งว่าเจ้าหน้าที่โยนแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าฯ และเผชิญหน้ากัน จึงพร้อมด้วยนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง และพ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ เดินทางไปที่สะพานผ่านฟ้าฯ เมื่อไปถึงได้ยินเสียงปืนมาจากทุกทิศทางเป็นระยะๆ จึงวิ่งไปหลังเวที และเรียกแกนนำนปช.ที่อยู่บริเวณนั้น ให้รายงานสถานการณ์ให้ฟัง ทราบว่าขณะนั้นมีทหารพร้อมอาวุธสงครามล้อมอยู่รอบที่ชุมนุม และมีผู้ชุมนุมหลายคนเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บแล้ว
พยาน เบิกความว่า จากนั้นขึ้นเวทีปราศรัยเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการสลาย ชุมนุมติดต่อมา และก็ได้รับโทรศัพท์จากนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เลขาธิการนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จึงตกลงกันว่าให้ทหารยุติปฏิบัติการและถอนกำลังออกจากพื้นที่ ขณะที่แกนนำนปช.จะเรียกให้ ผู้ชุมนุมที่เผชิญหน้าอยู่กับทหารกลับมารวมกันที่หน้าเวทีตามเดิม สถานการณ์จึงเริ่มคลี่คลายลง หลังจากนั้นไปตรวจสอบความเสียหาย พบว่ามี ผู้ชุมนุมบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย หนึ่งในนั้นคือนายฮิโรยูกิ นอกจากนี้ผู้ชุมนุมยังนำผู้เสียชีวิตอีก 2 ศพมาไว้บนเวที เนื่องจากเกรงว่าจะมีการขโมยศพและทำลายหลักฐาน พร้อมทั้งนำอาวุธที่ยึดได้จากทหาร ส่วนใหญ่เป็นปืนเอ็ม 16 และกระสุนจริงจำนวนมาก รวมถึงกล้องของนาย ฮิโรยูกิมาไว้บนเวทีด้วย
แกน นำนปช.เบิกความต่อว่า ทราบจาก ผู้ชุมนุมว่าในวันดังกล่าวมีพลซุ่มยิงอยู่บนอาคารสูง มีผู้ชุมนุมหลายรายเสียชิวิตจากการโดนอาวุธสงครามยิงที่ศีรษะและอวัยวะสำคัญ ขณะที่ภายในกลุ่มผู้ชุมนุมไม่มีชายชุดดำ ยืนยันได้จาก ผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างประเทศที่อยู่ในบริเวณที่ชุมนุมตลอดเวลา การสลายชุมนุมเป็นปฏิบัติการตามคำสั่งของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุก เฉิน (ศอฉ.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผอ. และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ในขณะนั้นเป็นผู้บัญชาการสูงสุด
นายณัฐวุฒิเบิกความ อีกว่า ภายหลังมีหนังสือราชการระบุว่า ศอฉ.สั่งให้มีปฏิบัติการดังกล่าว ตามที่สื่อเคยเสนอข่าวไปแล้ว ขณะที่นายสุเทพก็เคยพูดทั้งในการประชุมรัฐสภา และขึ้นเวทีปราศรัยในโอกาสต่างๆ ระบุว่าเป็นผู้สั่งการสลายชุมนุม และการสลายการชุมนุมไม่ได้ทำตามหลักสากล ที่ระบุไว้ต้องทำเป็น 3 ระดับ 7 ขั้นตอน ไม่มีการแจ้งผู้ชุมนุมว่าเจ้าหน้าที่จะเข้าสลายการชุมนุม หรือโยนแก๊สน้ำตาใส่ เห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มนปช.เป็นไปโดยสงบและสันติ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด หากรัฐบาลต้องการให้ยุติการชุมนุม สามารถทำได้โดยการเจรจา หรืออาศัยข้อกฎหมาย จะไม่ก่อให้เกิดความรุนแรงตามมาแต่อย่างใด
ส่วนนายวีระกานต์ เบิกความสรุปว่า วันที่ 10 เม.ย. อยู่ที่เวทีราชประสงค์ ในช่วงบ่ายได้รับแจ้งจากแกนนำที่เวทีสะพานผ่านฟ้าฯ ว่าจะมีการสลายการชุมนุม จึงให้นายณัฐวุฒิและแกนนำอีกส่วนหนึ่งเดินทางไปที่นั่น ส่วนตนอยู่ที่ราชประสงค์ แต่ได้ย้ำว่าไม่ให้เกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ ระหว่างนั้นแกนนำที่อยู่ทั้ง 2 เวที ก็โทรศัพท์ติดต่อกันตลอดเวลา ทราบว่ามีโยนแก๊สน้ำตา มีเฮลิคอปเตอร์บินว่อน และเสียงปืนดังเป็นระยะที่เวทีสะพานผ่านฟ้าฯ
นายวีระกานต์ เบิกความต่อว่า นอกจากนี้ ยังได้รับแจ้งว่าการปะทะกันระหว่างเจ้าหน้าที่กับ ผู้ชุมนุม เกิดขึ้นหลังจากมีผู้ชุมนุมถูกซุ่มยิงจากที่สูง ขณะเดียวกันก็มีพลทหารส่วนหนึ่งถึงขั้นร้องไห้ และนำอาวุธปืนที่พกติดตัวมามอบให้ ผู้ชุมนุม มีอาวุธอีกส่วนหนึ่งที่ผู้ชุมนุมยึดเอามา อาวุธทั้งหมดนั้น ทางแกนนำรวบรวมและส่งคืน ให้ตำรวจในภายหลัง และเซ็นรับไว้ชัดเจน ส่วนเรื่องชายชุดดำสวมหมวกไหมพรมนั้น เคยเห็นจากภาพในโทรทัศน์ ไม่เคยพบตัวจริง มีเพียงการ์ดนปช.ที่สวมชุดดำปกติเท่านั้น และคนกลุ่มนี้ไม่ได้ติดอาวุธแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงาน ว่า หลังการไต่สวนเสร็จสิ้น ศาลนัดไต่สวนครั้งต่อไปวันที่ 20 พ.ย. เวลา 09.00 น. โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ จะมาเบิกความด้วย ส่วนการไต่สวนทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 10 เม.ย.2553 ที่ถูกยิงและถูกระเบิดได้รับบาดเจ็บนั้น จากเดิมกำหนดไว้ตั้งแต่วันที่ 8 พ.ย. แต่ทนายความขอเวลารวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม คาดว่าจะขึ้นเบิกความได้ในเดือนม.ค.2556