"ดารุณี กฤตบุญญาลัย" จาก "ไฮโซ" สู่นักสู้เพื่อประชาธิปไตยข้างถนน

มติชน 14 ตุลาคม 2555 >>>




เป็นข่าว !! เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาใหญ่โต เมื่อมีอดีตครูจากโรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่ง สงบสติอารมณ์ไม่อยู่ ยืนด่าทอ ดารุณี กฤตบุญญาลัย หรือ "เจ๊ดา" หนึ่งในผู้ปราศรัยของกลุ่มคนเสื้อแดง กลางห้างพารากอน โดยหารู้ไม่ว่านั้นมันคนละดากัน !!
ยังไม่ทันที่เรื่องนี้จะจบ ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นที่หน้ากองปราบฯ เมื่อวันที่ 25 กันยายนที่ผ่านมา เป็นวันที่ครูคนดังกล่าวต้องเข้ามารับฟังข้อกล่าวหา หลังจากที่ดารุณีเข้าแจ้งความในข้อหาหมิ่นประมาทไว้ แต่ปรากฏว่ามีมวลชนเสื้อแดงและกลุ่มเสื้อหลากสีปะทะกัน เป็นผลให้ต้องเลือดตกยางออกไปทั้งสองฝ่าย
2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนำมาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ว่า เกิดอะไรขึ้นกับคนในประเทศนี้ และปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกวันนี้ในสังคมเรามีการสร้างกระแสเกลียดชัง ดารุณี กฤตบุญญาลัย 

แท้ที่จริงเธอเป็นใคร มาจากไหน และเข้ามีบทบาทในฐานะแกนนำเสื้อแดงได้อย่างไร




ดารุณีเล่าให้ฟังว่า เธอเกิดในปี พ.ศ. 2492 พื้นเพเป็นชาวจังหวัดหนองคาย แต่มีเชื้อสายเวียดนามและจีน หลังจากที่เรียนชั้นประถมในบ้านเกิด ต่อมาก็ย้ายมาเรียนต่อที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ก่อนจะเข้ากรุงมาเรียนต่อที่โรงเรียนเขมะสิริอนุสสรณ์ ตามด้วยคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และตบท้ายด้วยปริญาโทสาขาเศรษฐศาสตร์และการเมือง ในมหาวิทยาลัยเดียวกัน
หลังจากเรียนจบจึงประกอบธุรกิจกับสามี ด้วยความที่ครอบครัวของเธอนั้นถือว่ามีฐานะพอสมควร ระหว่างที่ทำธุรกิจอยู่จึงได้มีโอกาสเข้าไปช่วยเหลือสังคม และคลุกคลีในวงการไฮโซอย่างไม่ขาดสาย อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่าไม่ได้ต้องการคอนเน็กชั่นหรืออะไรเลย เพราะตัวเองเกิดมาก็มีอันจะกินอยู่แล้ว ที่ทำไปก็เพียงเพื่อต้องการช่วยเหลือคนที่ด้อยกว่าก็เท่านั้น
ดารุณีเป็นที่รู้จักในฐานะนักธุรกิจ เป็นผู้ที่อยู่ในแวดวงไฮโซ นอกจากนี้คนส่วนใหญ่ยังคุ้นหน้ากับภาพของการเป็นนักแสดง และเข้าร่วมรายการเกมโชว์ต่างๆ ด้วย




ดารุณีเล่าต่อว่า เธอไม่ใช่คนที่ไม่มีที่มาที่ไปแล้วอยู่ๆ มาเข้าร่วมกับคนเสื้อแดง หากเป็นคนที่ให้ความสนใจในเหตุการณ์การเมืองมาตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อครั้งเป็นนิสิตในรั้วจามจุรี ก็เคยร่วมชุมนุมจนสามารถขับไล่คณบดีมาแล้ว 2 ครั้ง และในยุคที่ประเทศมีการเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างคึกคัก เช่น เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และ 6 ตุลาคม 2519 เธอก็ไม่พลาดที่จะเข้าร่วมชุมนุม
    "ในยุค 14 ตุลาฯ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์มีการชุมนุมปราศรัย ไปทุกวัน คืนวันที่ 13 ก็เดินขบวนออกมากับเขาจากธรรมศาสตร์ แต่ตัวเองไม่เคยคิดที่จะมาเป็นผู้นำเลย คิดแต่ว่าสังคมจะมีความยุติธรรมได้อย่างไร ก็ขอเป็นคนหนึ่งที่ไปร่วมก็เท่านั้นเอง และหลังจากนั้น 6 ตุลาคม พฤษภาทมิฬ ก็อยู่ในเหตุการณ์ตลอด"
เธอเล่าถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้ต้องเข้าร่วมต่อสู้กับมวลชนเสื้อแดงว่า ในยุคของ นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งขณะนั้นมีการชุมนุมของมวลชนไม่ว่าจะเป็นเหลือง แดง ซึ่งได้เข้าไปร่วมชุมนุมในกลุ่มเสื้อแดงในฐานะผู้ร่วมชุมนุมคนหนึ่ง ที่อยากรู้ว่าบ้านเมืองในเวลานั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่
   "ก่อนหน้านี้เดือนมีนาคม 2549 ตอนนั้นมีการชุมนุมของพันธมิตร เราในฐานะกลุ่มนักธุรกิจสตรีก็ได้ออกมาเรียกร้องความสงบให้กับบ้านเมือง แต่สุดท้ายเมื่อถึงวันที่ 19 กันยายน 2549 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก็โดนยึดอำนาจ และต่อมาเมื่อเกิดม็อบพีทีวี ซึ่งหนังสือพิมพ์ชอบลงข่าวว่ามีผู้ชุมนุม 200 บ้าง 300 บ้าง เราก็อยากไปดูด้วยตาตัวเองว่าจริงหรือไม่"
   "ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าตัวเองจะเป็นเหลืองเป็นแดง แต่ไปถึงเห็นคนเรือนหมื่น แต่ตอนเช้ามาดูข่าวปรากฏว่า ข่าวบอกว่ามีคนมาประมาณ 200-300 คน เราก็ โทร. ไปบอกเลยว่าถ้าอย่างนี้ต่อไปขอให้บอกแค่ว่า มีคนมามากหรือน้อย เพราะถ้าออกข่าวมาแบบนี้ข่าวของคุณจะไม่น่าเชื่อถือ จากนั้นก็ได้ร่วมชุมนุมกับเสื้อแดงทุกวัน ทุกครั้งที่ไปก็จะไปนั่งอยู่กับพี่น้องประชาชน พอเดินเข้าไปพี่น้องประชาชนก็จะรู้จักเรา จากการที่เราเป็นนักธุรกิจ เป็นดารา ซึ่งมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง"
เจ๊ดาเล่าอีกว่า ปี 2552 เมื่อเห็นว่าในที่ชุมนุมมีผู้หญิงเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ด้วยความที่อยากให้กำลังใจผู้หญิงด้วยกัน เลยเดินไปด้านหลังเวทีปราศรัย ซึ่งรู้จักกับ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ผู้นำมวลชนเสื้อแดงเวลานั้น มาเป็นเวลา 10 กว่าปี จากนั้นก็เลยขึ้นเวทีไปเพื่อต้องการแค่นั่งให้กำลังใจ และต่อมาเมื่อทางแกนนำแดงเห็นว่ามีความสามารถในการร้องเพลง และยิ่งพอรู้ว่าสามารถพูดเรื่องการเมืองได้ จึงได้พูดในลักษณะการเมืองแบบบันเทิงซึ่งเป็นการต่อสู้ในเชิงศิลปวัฒนธรรม
ส่วนกระแสข่าวที่ว่าเป็นเสื้อแดงเพราะมีความใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนั้น ดารุณีแย้งทันทีว่า ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับอดีตนายกฯเลย เพียงแต่ลูกชายกับ "โอ๊ค" พานทองแท้ ชินวัตร นั้นเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ และเมื่อเรียนจบออกมาก็ได้เปิดบริษัทร่วมกัน ยืนยันว่าไม่ได้มีความสนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อย่างใด รู้จักและสนิทกันในฐานะพ่อแม่ของเพื่อนลูกชายเท่านั้นเอง
   "มองดู พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่ที่เราเป็นนักธุรกิจ เห็นว่าท่านมีวิสัยทัศน์ในการก่อร่างสร้างตัว ไม่เคยรู้จักกันเกินกว่าคำว่าพ่อแม่ของเพื่อนลูก บ้านก็ไม่เคยไป จนตอนหลังอยู่ในสังคม ก็มีโอกาสไปอวยพรในฐานะองค์กรทางสังคมที่เราทำอยู่ และเมื่อมีพรรคไทยรักไทย ก็รู้จักกับคนอื่นๆ ในพรรค ซึ่งเราก็เข้าไปในฐานะผู้สนับสนุนพรรค เพราะเห็นว่าเป็นพรรคที่ยึดโยงกับประชาชนได้มากที่สุด เพราะตั้งแต่เกิดมาจนบัดนี้ ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรัฐบาลใดเลย"
ในมุมมองทางการเมืองของเจ๊ดานั้น เธอบอกว่า วันนี้รัฐบาลของประชาชนไม่สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ เพราะมีวิธีการ แต่ไม่มีอำนาจ อย่างไรก็ตามประเทศต้องเปลี่ยน ทั่วโลกเขาเป็นประชาธิปไตย เราพูดแบบวิชาการไม่ได้หรอกว่า เป็นประชาธิปไตยแบบไหนบ้าง วันนี้จะต้องแก้ปัญหาด้วยการถกเถียงกัน เราคิดเห็นต่างกันได้ แต่ต้องเอาความต่างเหล่านั้นมาสร้างสรรค์สังคม ถามหน่อยว่า ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยเขายึดอำนาจได้หรือไม่ หากมีอะไรก็ยึดอำนาจ อย่างนี้แปลว่าประเทศนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย คนเสื้อแดงเพียงเอาเสื้อสีแดงเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้ แต่ทุกวันนี้คนเสื้อแดงถูกมองว่ามาเพราะรับเงิน พ.ต.ท.ทักษิณ
   "การชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 พี่อยู่จนวินาทีสุดท้ายของการสลายการชุมนุม อยู่กับพี่น้องประชาชนจนเช้าวันที่ 19 เดินลงจากเวทีตอน 9 โมงเศษ พี่น้องของเราก็มาบอกว่าแกนนำเขามอบตัวเพราะกลัวเรื่องจะบานปลาย ก็นับถือน้ำใจของแกนนำที่ยอมสละอิสรภาพ แต่เราเป็นคนพูดมาตลอดว่า รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้มาตามประชาธิปไตย เมื่อตำรวจจะมาจับก็บอกว่า ไม่มีความผิด และไม่ยอมรับ"
เธอเล่าต่อว่า "พี่ไม่ได้คิดหนี แต่พี่น้องบอกว่า ถ้าไม่ไปเขาก็ต้องไล่จับอยู่ดี เวลานั้นพี่ก็ปีนข้ามรั้วตรงสะพานหัวช้าง ยืนยันว่าไม่เคยคิดหนี ที่ไปก็เพราะไม่ยอมศิโรราบให้กับกฎหมายเผด็จการ จากนั้นก็ไม่ได้อยู่ใน กทม. เลย ก็จะอยู่ต่างจังหวัดและต่างประเทศ ไปอยู่คนเดียวเป็นเวลาประมาณ 1 ปีกับอีก 5 เดือน ระหว่างนั้นก็ทำกับข้าวกิน บางทีก็มีพี่น้องเข้ามาเยี่ยมบ้าง ได้เขียนหนังสือ และเรียนรู้อินเตอร์เน็ต เพราะก่อนหน้านี้ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย"
ส่วนกรณีที่อดีตครูโรงเรียนนานาชาติเข้ามาด่ากลางห้างพารากอน จนมีกระแสต่อต้านตัวเธอนั้น ดารุณีบอกว่า ไม่แคร์ เพราะเป็นคนที่มีตัวตนชัดเจนอยู่แล้ว และเชื่ออย่างยิ่งว่าตัวเองมีความบริสุทธิ์ ที่ผ่านมา จากผลงาน และสิ่งที่ทำ ก็ชี้วัดว่าไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น
   "ไม่เป็นไร ใครจะมองเราเป็นแบบไหน มันขึ้นอยู่ที่ตัวของเราต่างหาก ไม่เคยแคร์ค่ะ และไม่เคยคิดจะแก้ข่าวด้วย จริงๆ การกล่าวหาแบบนี้มันทำร้ายไปถึงครอบครัวเราด้วย แต่ไม่เป็นไร เชื่อว่า ฟ้าดินมีตา ผ่านไปแล้วก็ลืม ไม่เคยเอากลับมาคิด" เจ๊ดากล่าวทิ้งท้าย