ทนายเจ๋งยันคำปราศรัยของเจ๋งไม่ผิด ม.112



ทีมข่าว นปช.
31 ตุลาคม 2555


วานนี้ (30 ต.ค. 55) ห้อง 804 ศาลอาญา (ถ.รัชดาภิเษก) ศาลนัดสืบพยาน ยศวริศ ชูกล่อม (เจ๋ง ดอกจิก) กรณีการกล่าวปราศรัย เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 53 ซึ่งมีเนื้อหาละเมิดประมวล กม. อาญา ม.112
ดต.เอนก อารีประชา (ตำรวจสืบสวน สน.มักกะสัน) ให้การว่า ตนเองเป็นตำรวจ มีหน้าที่บันทึกวิดีโอการปราศรัยของแกนนำ นปช. ที่ตั้งเวทีปราศรัยบริเวณ ถ.ราชดำเนิน เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 53
เวลาประมาณ 11.00-12.00 น. จำเลยขึ้นเวทีปราศรัย ซึ่งขณะนั้นมีประชาชนร่วมฟังปราศรัยเป็นจำนวนมาก โดยช่วงหนึ่งได้กล่าวบนเวทีปราศรัยว่า มีบุคคลเหนือกว่า พล.อ.เปรม และทำท่าทางยกมือปิดปากของตัวเองว่า ไม่สามารถพูดได้
ตนเองคิดว่า คำพูด และการแสดงท่าทางดังกล่าวหมายถึง พระเจ้าอยู่หัว เนื่องจากพระเจ้าอยู่หัวทรงแต่งตั้ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นองคมนตรี ตนเองเป็นบุคคลที่เป็นกลาง ไม่เข้าข้างเสื้อสีใด
ทนายความจำเลยชี้ให้ศาลเห็นว่า การชุมนุมของ นปช. ในวันดังกล่าวเป็นการประท้วงรัฐบาลของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค. 53 เป็นต้นมา ซึ่งจำเลยได้เคยขึ้นปราศรัยก่อนหน้านี้หลายครั้ง นอกจากนี้แกนนำ นปช. คนอื่นๆก็ปราศรัยโจมตี พล.อ.เปรม ในลักษณะเดียวกัน
แกนนำ นปช. โจมตี พล.อ.เปรม ซึ่งมาจากการแต่งตั้งจากพระเจ้าอยู่หัว เช่นเดียวกับการปราศรัยโจมตีนายกรัฐมนตรีที่มาจากการแต่งตั้งจากพระเจ้าอยู่หัว ดังนั้นจึงไม่ถือว่า เป็นการให้ร้ายพระเจ้าอยู่หัวแต่อย่างใด
การวิจารณ์อภิสิทธิ์ว่า มาจากการแต่งตั้งจากทหาร ถ้อยคำดังกล่าวไม่ถือเป็นการดูหมิ่นพระเจ้าอยู่หัวแต่อย่างใด คำว่า "..เหนือกว่าเปรม.." หมายความถึงบุคคลอื่น เช่น นักวิชาการ ที่มีอิทธิพลทางความคิดเหนือกว่า พล.อ.เปรม ความคิดเรื่องการหมิ่นพระเจ้าอยู่หัวเป็นเพียงความคิดของพยานเอง 
สกุล วัฒนานุสรณ์ (เจ้าหน้าที่นิตยสารกีฬารายสัปดาห์) ให้การว่า ก.ค. 53 ได้รับการติดต่อจากตำรวจ สน.พญาไท เพื่อให้มาช่วยแสดงความคิดเห็นต่อการปราศรัยของจำเลย โดยตนเองเห็นว่า ข้อความ “..เหนือกว่าเปรม..” นั้น เป็นการหมิ่นพระเจ้าอยู่หัว
พยานชี้ตัวจำเลยผิดคน และให้การต่อว่า ไม่เคยร่วมชุมนุมทางการเมืองใดๆ และไม่สนใจการเมืองแต่อย่างใด การที่ตนเองไปแสดงความคิดเห็นต่อคำปราศรัยของจำเลยดังกล่าวนั้น เนื่องจากได้รับการชักชวนจาก ประโยชน์ หวังใจสุข (ประธานชุมชนคลองส้มป่อย) โดยไม่ได้รับการบอกกล่าวถึงสาเหตุแต่อย่างใด
ตนเองดูคลิปการปราศรัยของจำเลยเฉพาะตอนที่ 2 ที่มีข้อความเกี่ยวกับบุคคลที่อยู่เหนือกว่า พล.อ.เปรม เท่านั้น จำเลยไม่รู้ว่า หมายถึงใคร แต่ตนเองรู้ได้จากการที่จำเลยเอามือปิดปาก และพูดว่า พูดไม่ได้
น.ส.นนทศรณ์ พวงเงิน (เจ้าหน้าที่ด้าน กม. สมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมาย) ให้การว่า มิ.ย. 53 มีจดหมายเชิญจาก สน.สำราญราษฎร์ ให้มาช่วยแสดงความคิดเห็นต่อการหมิ่นสถาบันฯ โดยตำรวจไม่ได้บอกกล่าวว่า เป็นเรื่องอะไร
ตนเองดูคลิปการปราศรัย และเข้าใจด้วยความคิดตนเองว่า ข้อความ “..เหนือกว่าเปรม..” และการเอามือปิดปากของจำเลยเป็นการหมิ่นพระเจ้าอยู่หัว
ทนายจำเลยได้ชี้ให้ศาลเห็นว่า ม. 112 มีองค์ประกอบแค่ 4 องค์ประกอบคือ พระเจ้าอยู่หัว, พระราชินี, องค์รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเท่านั้น ไม่ได้ครอบคลุมถึงประธานองคมนตรีแต่อย่างใด
ส่วนบุคคลที่อยู่เหนือกว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีนั้นก็ควรหมายถึง "พระเจ้าอยู่หัว" เช่นเดียวกัน เพราะมาจากการแต่งตั้งจากพระเจ้าอยู่หัวเช่นเดียวกับประธานองคมนตรี
พยานไม่สนใจการเมือง แต่พอทราบว่า มีการหยิบยกสถาบันฯมาเป็นข้ออ้างทางการเมือง และทราบว่ามีข้อกล่าวหาว่า อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ว่า ไม่จงรักภักดีต่อสถาบันฯ ซึ่งข้อกล่าวนี้ยังได้ใช้กับบุคคลทางการเมืองอีกหลายคน
พยานไม่ได้อ่านบันทึกการปราศรัยทุกหน้า อ่านแต่เฉพาะส่วนที่พนักงานสอบสวนให้อ่านเท่านั้น ดังนั้นคำพูดบริบทต่างๆของจำเลย พยานไม่สามารถทราบได้ และยังไม่ใส่ใจ จึงเห็นได้ว่า พยานคิดไปเองโดยไม่ใช้หลักการทาง กม.
พยานไม่ทราบว่า ข้อความของจำเลยยังล่าวถึง สาเหตุที่อภิสิทธิ์ไม่ยอมยุบสภานั้น เนื่องจาก พล.อ.เปรม, พรรคร่วมรัฐบาล, ทหาร, สุเทพ เทือกสุบรรณ และ เนวิน ชิดชอบ นอกจากนี้โจทย์สอบถามกับพยานได้ความว่า ถูกตำรวจเชิญมาแสดงความคิดเห็นเท่านั้น ไม่ได้มาตีความทางการเมืองแต่อย่างใด
น.ส.ธนียา วงษ์ภาษ (เจ้าหน้าที่ด้าน กม. สมาคมบัณฑิตสตรีทางกฎหมาย) ให้การว่า ตนเองอ่านบันทึกตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่มีใครชี้นำว่าให้อ่านส่วนใด แต่ส่วนที่ทำให้ตนเองคิดว่า จำเลยหมิ่นพระเจ้าอยู่หัวอยู่คือ “..เหนือกว่าเปรม..” และใช้มือปิดปากของจำเลย ตนเองเข้าใจว่า “..เหนือกว่าเปรม..” คือ พระเจ้าอยู่หัวอยู่ ตนเองเข้าใจว่า อภิสิทธิ์ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีจากประธานองคมนตรี ไม่ใช่พระเจ้าอยู่หัว และยังเข้าใจอีกว่า ”เหนือยิ่งลักษณ์คือ พ.ต.ท.ทักษิณ”
พยานยืนยันว่า ไม่ทราบถึงข้อกล่าวหาในการไปแสดงความคิดเห็นที่ สน. มาก่อน และเป็นวันเดียวกันกับที่ น.ส.นนทศรณ์ มาแสดงความคิดเห็น แต่ไม่ได้ไปพร้อมกัน
ทนายจำเลยได้ชี้ให้ศาลเห็นว่า พนักงานสอบสวนสอบถามแต่เฉพาะตัวหนังสือสีน้ำเงินเท่านั้น ไม่ได้สอบถามตัวหนังสือสีแดง ดังนั้นพยานจึงคิดเองเฉพาะตัวหนังสือที่อ่านเท่านั้น
คำพูดของจำเลยที่ว่า “..ทหารต้องเป็นทหารของพระเจ้าแผ่นดิน ของพระราชา..” พยานไม่คิดว่าเป็นการหมิ่นพระเจ้าอยู่หัวแต่อย่างใด ถือเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันฯ รวมทั้งภาพถ่ายที่จำเลยยืนถ่ายคู่กับพระบรมฉายาลักษณ์ก็แสดงถึงความจงรักภักดีเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้พยานยังเห็นด้วยว่า พล.อ.เปรม ไม่ควรเกี่ยวข้อง หรือวิจารณ์ทางการเมือง ซึ่ง พล.อ.เปรม  เคยพูดถึงบุคคลทางการเมืองบ่อยครั้ง
อัยการให้พยานทั้ง 2 (น.ส.นนทศรณ์ และ น.ส.ธนียา) อ่านเฉพาะข้อความเหล่านี้เท่านั้น ส่วนข้อความอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้าอยู่หัว พนักงานสอบสวนไม่ได้ทำการสอบถามเลย