'จักรภพ' ชี้การพัฒนาประชาธิปไตยต้องอาศัยองค์ความรู้



ทีมข่าว นปช.
1 กันยายน 2555




วันนี้ (1 ก.ย. 55) จิรปาณ ศรีเนียน (จ.เจตน์), สงคราม กิจเลิศไพโรจน์, วราวุธ ฐานังกรณ์ (สุชาติ นาคบางไทร), อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล ร่วมงานเปิดร้าน TP News ณ ชั้น 4 อิมพีเรียลเวิล์ด ลาดพร้าว แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพ
ณัฐวรรณ เพ็ญแข (มารดาของ จักรภพ เพ็ญแข) กล่าวขอบคุณผู้มาร่วมงานแทนลูกชายที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ เนื่องจากลูกชายของตนเองต้องเดินทางออกจากประเทศไทยหลังเหตุการณ์ 10 เม.ย. 53
ครอบครัวเพ็ญแขประกอบธุรกิจ ไม่อยากเล่นการเมือง แต่ลูกชายของตนเองชอบการเมือง ตอนที่เขายังเรียนหนังสืออยู่ ผลการเรียนของเขาอยู่ในระดับปานกลาง แต่เขาชอบกิจกรรม และยังเคยขึ้นเวทีอภิปรายหลายครั้ง เขาบอกกับตนเองว่า เขาเป็นแดงแล้วไม่สามารถเลิกได้
เขาเองก็คิดต่างจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในบางเรื่อง เช่น การปรองดอง แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไร เขาอยากจะเปิดร้านหนังสือเป็นของตนเอง แม้จะไม่ได้กำไร หรือขาดทุนก็ไม่เป็นไร ถือเป็นการทำตามความฝัน เขาเคยบอกกับตนเองว่า ให้ตนเองรักษาสุขภาพให้ดี เพื่อวันข้างหน้าจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีก
3 ปีที่ผ่านมาตนเองและลูกชายโทรศัพท์หากันเกือบทุกวัน ก่อนหน้านี้ตนเองและลูกสาวต้องเดินทางด้วยรถยนต์ไปเยี่ยมเขา ซึ่งต้องใช้เวลาเดินทางครั้งละกว่า 10 ชั่วโมง จนกระทั่งมีคนใจดีช่วยออกค่าตั๋วเครื่องบินให้ เดี๋ยวนี้ตนเองและลูกสาวจึงเดินทางไปเยี่ยมเขาทุกๆเดือน
ตนเองรู้สึกภูมิใจกับตัวของเขามาก เขาเคยบอกกับตนเองว่า เขาจะไม่มีวันล้มเลิกการต่อสู้จนกว่าประเทศไทยจะได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง แม้อาจจะต้องในเวลานับ 10 ปีก็ตาม
จักรภพวีดิโอลิงค์จากต่างประเทศ โดยกล่าวว่า การสถาปนาระบอบประชาธิปไตยนั้นจำเป็นต้องอาศัยความรู้ โดยนำความรู้มาพัฒนาต่อยอด เพื่อนำไปสู่ภูมิปัญญา เพื่อกำหนดทิศทางการเดิน เพื่อในอนาคตประชาชนจะเป็นผู้กุมชะตาชีวิตของตนเอง และของประเทศ ดังนั้นใครก็ตามที่มีหนังสือที่มีแนวคิดแบบเดียวกันสามารถเอามาฝากขายได้ที่นี่
หนังสือเป็นเสมือน "เพื่อนชีวิต" ของตนเอง เป็นที่รวมของความสุข หนังสือทุกเล่มแม้มีความเห็นที่แตกต่างกัน แต่ก็มีคุณค่า มีความเป็นครูด้านภาษา การเปลี่ยนแปลงไม่จำเป็นต้องเริ่มจากสิ่งใหญ่โตอลังการ แต่สามารถเริ่มต้นได้จากสิ่งเล็กๆอย่างร้านหนังสือแห่งนี้ ตนเองอยากให้ทุกคนที่เข้าร้านแห่งนี้มีความรู้สึกร่วม จะซื้อ หรือไม่ซื้อหนังสือก็สามารถมาที่ร้านแห่งนี้ได้ ขอขอบคุณแม่ที่ช่วยดูแลร้าน ขอขอบคุณทุกคนที่มีส่วนสร้างร้านแห่งนี้ ขอบคุณสงครามที่เป็นนักธุรกิจ แต่ก็ยังร่วมขบวนการต่อสู้ และขอบคุณนิติราษฎร์ที่มีความกล้าหาญทางจริยธรรม เพื่อนำไปสู่การวางรากฐานประชาธิปไตย
สงคราม กิจเลิศไพโรจน์ เผยว่า ตนเองและจักรภพเป็นคนที่เข้าใจซึ่งกันและกัน เขาเป็นที่พูดแบบมีข้อมูล เป็นคนมีอุดมการณ์ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนความคิดของเขาได้
หลังวันที่ 19 ก.ย. 49 ตนเองก็เคยต้องหลบหนีออกไปต่างประเทศ และได้พบกับเขาช่วงหนึ่ง ตนเองรู้สึกว่า เขาเป็นคนเก่งคนหนึ่ง แต่ในประเทศไทยคนเก่งไม่สามารถอยู่ได้ เพราะเก่งเกินหน้าเกินตาใครบางคน น่าเสียดายที่ประเทศไทยน่าจะเจริญกว่านี้
30 ปีก่อนไต้หวันยังตามหลังประเทศไทย แต่ทุกวันนี้เราต้องตามหลังเขา วิกฤตการณ์ต้มยำกุ้งปี 2540 ตนเองรู้สึกว่า เกาหลีใต้กับประเทศไทยยังสูสีกัน แต่ทุกวันนี้เกาหลีใต้แซงประเทสไทยไปเยอะ ในอนาคตไม่แน่ว่าเวียดนามอาจจะแซงหน้าประเทศไทย ถ้าประเทศไทยยังไม่มีประชาธิปไตย แม้แต่พม่ายังเปลี่ยนระบอบเผด็จการ พม่ามีทรัพยากรจำนวนมาก ในอนาคตจึงเป็นไปได้ที่พม่าอาจจะแซงหน้าประเทศไทย
พวกเราต้องต่อสู่เพื่อลูกหลานในอนาคต พวกเราต้องไม่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของเผด็จการ อำมาตย์พยายามทำให้พวกเราแตกแยก ทำให้ประชาชนโง่ จน และสร้างความกลัวเพื่อจะได้ปกครองง่ายๆ ตนเองไม่เชื่อว่า ความยากจนเกิดจากคนรากหญ้าโง่ หรือขี้เกียจ แต่เป็นเพราะพวกเขาขาดโอกาสมากกว่า ทุกวันนี้ตนเองอยู่เฉยๆก็สบาย แต่ตนเองก็เลือกที่จะต่อสู้ จึงอยากขอให้คนเสื้อแดงอย่ากลัว
อ.ปิยบุตร กล่าวว่า ตนเองเดินทางมาร่วมงานในครั้งนี้ เพราะนับถือแนวทางการต่อสู้ของจักรภพ บิดา-มารดาของตนเองเป็นคนยากจน แต่เห็นความสำคัญของการศึกษา จึงอุตส่าห์ส่งเสียลูกทั้ง 4 คนให้ได้เรียนจนต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลาย
ตนเองเคยอ่านปรัชญาของต่างประเทศคนหนึ่งซึ่งระบุว่า หนังสือที่อ่านแล้วสามารถกระทบความคิดเป็นหนังสือที่มีคุณค่า ตนเองจึงอยากแนะนำหนังสือบางเล่ม เช่น โฉมหน้าศักดินาไทย (จิตร ภูมิศักดิ์) และ ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง (สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล)
หนังสืออาจถูกหยิบยกขึ้นมาพูดต่างยุคต่างสมัยกัน ซึ่งอาจทำให้เกิดการบิดเบือนความหมายที่แท้จริง ยกตัวอย่าง แถลงการณ์สละราชสมบัติของ ร.7 ที่ระบุว่า "ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะ" ซึ่งในยุคนั้น เกิดจากการที่ ร.7 ทรงต่อรองกับคณะราษฎร แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ จึงใช้วิธีสละราชสมบัติเพื่อต่อรอง แต่ในเหตุการณ์ 14 ต.ค. 16 กลับเอาวลีนี้มาบิดเบือนเพื่อขับไล่รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร หรือในปี 2517-2518 มีการพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับกรณีสวรรคตของ ร.8 ออกมามาก เพื่อขัดขวางการกลับมาของ ปรีดี พนมยงค์ รวมทั้งเหตุการณ์ 14 ต.ค. 16, 6 ต.ค. 19 และพฤษภาทมิฬ ไม่มีการหยิบยกเรื่องการปฏิวัติ 2475 มาพูดถึง แต่หลังการรัฐประหาร 2549 กลับมีการหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดบ่อยครั้ง
เด็กทุกคนเปรียบเสมือนผ้าขาว แต่การศึกษาไทย 12 ปีสอนให้เด็กคิดเหมือนกันหมด โรงเรียนเป็นกลไกทางอุดมการณ์ โดยบังคับให้เด็กทุกคนนั่งเฉยเพื่อฟัง เมื่อเราไปเรียนที่ต่างประเทศที่เข้าไม่ได้ปลูกฝังความคิดแบบเรา เราก็มักปลอบใจตัวเองว่า การศึกษาของไทยดีกว่าของต่างประเทศ ตนเองจึงเห็นว่าเป็นการอ้างแบบ "องุ่นเปรี้ยว"
ประเทศไทยมีกษัตริย์ และศาสนา การศึกษาไทยเป็นแบบ "ราชานิยม" ที่มองกษัตริย์ไทยตั้งแต่อดีตเป็น "วีรบุรุษ" โดยที่ไม่เคยมองประชาชนเป็นผู้ปกป้องบ้านเมือง ประเทศไทยมีสรรพนามเรียกชื่อจำนวนมาก ซึ่งนั่นบ่งบอกว่าประเทศไทยมีการแบ่งชนชั้น