'ณัฐวุฒิ' ปัดเจรจาม็อบสวนยาง อ้างติดไปอินโดฯ

ไทยรัฐ 4 กันยายน 2555 >>>




“ณัฐวุฒิ” ปัดเจรจา “ม็อบสวนยาง” ด้วยตนเอง อ้างติดภารกิจเดินทางไป “อินโดฯ” ไม่หวั่นเจอข้อหาหนีม็อบ เชื่อเกษตรกรเข้าใจปัญหาราคายางตกต่ำ ยันรัฐบาลเดินหน้าช่วยเต็มที่...

เมื่อเวลา 09.20 น. วันที่ 4 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์กรณีเกษตรกรชาวสวนยางพารา เดินทางมาประท้วงเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลรับซื้อยางพาราในราคากิโลกรัมละ 120 บาทต่อกิโลกรัม ว่า ตนได้รับทราบความเคลื่อนไหวดังกล่าวแล้ว และประสานให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการและรับเรื่องกับเกษตรกร และจะรายงานความเคลื่อนไหวดังกล่าวให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) รับทราบด้วย
อย่างไรก็ตาม ตนคงไม่ได้เดินทางไปพบผู้ชุมนุมด้วยตนเอง เพราะมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพบผู้ชุมนุมแล้ว และไม่เกรงว่าจะถูกกล่าวหาว่าหนีม็อบ เพราะเดินหน้าแก้ปัญาหาตลอด ทั้งนี้ หลังร่วมประชุม ครม. แล้วเสร็จ ตนจะเดินทางไปมาเลเซียเพื่อหารือกับรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องยางพารา เพื่อกระชับความร่วมมือ และเดินหน้ามาตรการลดปริมาณการส่งออก โดยวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้เดินทางไปอินโดนีเซียเพื่อหารือเรื่องดังกล่าว โดยเห็นตรงกันว่าราคายางได้รับผลกระทบด้านราคาเหมือนกันทุกประเทศ นอกจากไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ที่จับมือกัน ก็ยังมีข้อสรุปว่าเราจะไปหารือกับทางการของเวียดนามที่เป็นผู้ส่งออกลำดับ 4 ของโลก เพื่อเชิญเข้ามาร่วมกลไกรักษาเสถียรภาพราคายาง และจะมีการจะมีการประสานงานกับรัฐบาลจีนในฐานะผู้บริโภครายใหญ่ ว่ามียุทธศาสตร์อย่างไร เพื่อสอดรับและประสานงานกันให้แน่นแฟ้น
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ยืนยันว่ารัฐบาลได้เดินหน้าและจริงใจในแก้ปัญหาราคายางมาตลอด เชื่อว่าเกษตรกรเข้าใจสถานการณ์ขณะนี้ แต่ต้องการส่งเสียงความเดือดร้อนและเร่งรัดรัฐบาลเร่งแก้ปัญหา เป็นความเคลื่อไหวที่อยากให้รัฐบาลรับทราบ เรายืนยันรับทราบและดำเนินการตลอดเวลา เวลานี้รัฐบาลยืนราคารับซื้อ 100 บาทต่อกิโลกรัม ก็เป็นความพยายามแบ่งเบาปัญหาและลดความเดือดร้อนของเกษตรกร พร้อมกับการแก้ปัญหาระยะยาว ยืนยันรัฐบาลและทุกส่วนที่เกี่ยวข้องทำงานเต็มที่ แต่สถานการณ์ภาพรวมยังไม่ปรากฏปัจจัยบวกที่ชัดเจน เท่าที่พูดคุยในไตรภาคี เราคาดหวังว่าน่าจะขยับราคาได้สูงขึ้น และรักษาเสถียรภาพไว้ได้ ทั้งนี้ หากราคาตลอดสัปดาห์ชี้ไปทิศทางที่เป็นบวก แสดงว่ามาตรการนี้ส่งผลในตลาดโลกแล้ว แต่ถ้าไม่ดีขึ้นก็จะกำหนดมาตรการเข้มข้นมากขึ้น