"นักข่าวดัตช์" ให้การ 98 ศพ
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 26 ก.ย. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายมิเชล มาสส์ ผู้สื่อข่าวชาวเนเธอร์แลนด์ สังกัดวิทยุเนเธอร์แลนด์ เรดิโอเวิลด์ไวด์ และหนังสือพิมพ์โฟล์กส์แรนต์ เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนในคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ จำนวน 98 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน จากเหตุความรุนแรงทางการเมืองเมื่อปี 2553 เพื่อให้ข้อมูลคดีการเสียชีวิตของนายฟาบิโอ โปเลงกี นักข่าวชาวอิตาลี ที่ถูกยิงเสียชีวิตในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2553 พร้อมทั้งมอบหลักฐานเป็นภาพถ่ายหัวกระสุนปืน ที่แพทย์ผ่าตัดออกมาจากตัวของนายมิเชล มามอบให้ไว้เป็นหลักฐานด้วย และสอบปากคำในเบื้องต้นเป็นเวลา 30 นาที
นายมิเชลให้สัมภาษณ์ว่า ต้องการเข้าให้ข้อมูลต่อพนักงานสอบสวน ในฐานะพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะที่นายฟาบิโอถูกยิงเสียชีวิต และตนก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บอยู่บริเวณใกล้กัน ล่าสุดผ่ากระสุนที่ฝังอยู่ออกไปแล้ว โดยเก็บไว้ที่บ้านพักที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย หากดีเอสไอ ต้องการนำกระสุนไปพิสูจน์ ก็ยินดีจะเดินทางไปเอามาให้ตรวจสอบ แต่วันนี้ไม่ได้นำกระสุนที่ผ่าออกมาด้วย มีเพียงภาพถ่ายหัวกระสุนเท่านั้น
โดนยิงขณะรายงานข่าว
"แม้ว่าผมไม่เห็นว่าใครเป็นคนยิงใส่ผม แต่เห็นเจ้าหน้าที่ถือปืนอยู่บริเวณฝั่งตรงข้าม การเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนครั้งนี้ เพื่อให้การเป็นพยานกับดีเอสไอ จะได้มีหลักฐานดำเนินคดีเกี่ยวกับการเสียชีวิตของประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐชัดเจนมากยิ่งขึ้น และในขณะที่ผมถูกยิงนั้น อยู่ระหว่างการโทรศัพท์รายงานสดสถานการณ์กลับไปยังสถานี และก็ไม่ได้ถ่ายภาพอะไรไว้" นายมิเชล กล่าว
ส่วน พ.ต.อ.ประเวศน์ กล่าวว่า ดีเอสไอขอให้นายมิเชลส่งภาพและรายละเอียดเกี่ยวกับการทำข่าวในช่วงที่เกิดเหตุมาประกอบการพิจารณาคดีเพิ่มเติม โดยนายมิเชลเป็นนักข่าวที่ได้รับบาดเจ็บ ถูกยิงด้วยกระสุนปืนเอ็ม-16 เพิ่งผ่าหัวกระสุนออก ก่อนหน้านี้เคยให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน บช.น. ไปแล้วครั้งหนึ่ง โดยให้การว่าเป็นผู้ที่เห็นเหตุการณ์ขณะที่นายฟาบิโอถูกยิง และขณะนี้การสอบสวนผู้ที่เกี่ยวข้องในคดี 98 ศพ มีความคืบหน้าไปมาก พนักงานสอบสวนเชิญผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสลายการชุมนุมทั้งหมดมาให้ข้อมูลอยู่ คาดคงต้องใช้เวลาสักระยะถึงจะเสร็จ
นำชี้จุดเกิดเหตุยิงฟาบิโอ
จากนั้นเวลา 11.00 น. พนักงานสอบสวนดีเอสไอนำตัวนายมิเชลไปชี้จุดเกิดเหตุที่นายมิเชลถูกยิงได้รับบาดเจ็บ บริเวณแยกราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กทม. โดยนายมิเชลเริ่มชี้จุดแรกหลังเดินมาจากแยกราชประสงค์ เพื่อจะมาทำข่าวกลุ่มผู้ชุมนุมที่ปักหลักประท้วงอยู่หน้าบริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด ฝั่งขาออกมุ่งหน้าไปสวนลุมพินี เมื่อเดินมาถึงก็พบกับเพื่อนนักข่าวชาวอินโดนีเซียกับไทย กำลังบันทึกภาพกลุ่มเจ้าหน้าที่จำนวนมากตั้งแถวอยู่ด้านหน้าคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ห่างจากจุดที่ยืนอยู่ประมาณ 100 เมตร จึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารายงานเหตุการณ์เข้าสถานีข่าว โดยยืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม
จากนั้นนายมิเชลระบุว่า ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่ ทำให้กลุ่มเสื้อแดงจำนวนมากวิ่งหลบหนีไปคนละทิศคนละทาง ส่วนนายมิเชลหันหลังวิ่งหลบหนีด้วย กระทั่งวิ่งมาถึงหน้าบริษัท 185 ราชดำริคอนโดฯ ก็ถูกยิงที่ชายโครงด้านหลังและหัวไหล่จนทรุดตัวลงกับพื้น ก่อนจะมีผู้ชุมนุมพาหนีออกจากจุดเกิดเหตุ ส่วนกรณีนายฟาบิโอนั้น นายมิเชลระบุว่าไม่เห็นเหตุการณ์ว่าถูกยิงอย่างไร แต่ได้ยินเสียงปืน และมีเพื่อนนักข่าวโทรศัพท์มาบอกว่านายฟาบิโอถูกยิงบาดเจ็บสาหัสอยู่ฝั่งตรงข้ามกับตนเอง ใกล้แยกราชดำริ แต่ไม่สามารถออกไปดูเหตุการณ์ได้ เพราะยังมีเสียงปืนดังอยู่ต่อเนื่อง จนกระทั่งมาทราบภายหลังว่านายฟาบิโอเสียชีวิตขณะนำส่งโรงพยาบาลแล้ว
ม็อบมีไม้-กระบองเป็นอาวุธ
นักข่าวเนเธอร์แลนด์กล่าวต่อว่า ได้ยินเสียง ปืนมาจากฝั่งเจ้าหน้าที่เท่านั้น ส่วนผู้ชุมนุมเห็นว่าส่วนใหญ่มีอาวุธ เช่น ไม้พลอง กระบอง เห็นอาวุธปืนเพียงแค่กระบอกเดียวเท่านั้น การที่ถูกยิงไม่แน่ใจว่าเป็นเจตนา หรือลูกหลง เมื่อถามถึงชายชุดดำ นายมิเชลกล่าวว่า ไม่เห็นชายชุดดำอยู่ในพื้นที่ประท้วง และการเดินทางมาพบดีเอสไอครั้งนี้ ไม่ได้คาดหวังว่าจะจับคนทำผิดได้ แต่ต้องการรู้แค่ว่าใครเป็นคนทำ
ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า หลังจากนายมิเชลชี้จุดเกิดเหตุแล้ว พนักงานสอบสวนดีเอสไอนำตัวกลับไปยังดีเอสไอ เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม
ขณะเดียวกัน พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา ที่ปรึกษา (สบ 10) ก็เดินทางมาให้ข้อมูลต่อพนัก งานสอบสวนคดี 98 ศพ โดย พล.ต.อ.วรพงษ์ กล่าวว่า ให้ข้อมูลในฐานะเจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบการทำงานในช่วงดังกล่าว โดยชี้แจงเกี่ยวกับภารกิจต่างๆ เช่น การตั้งด่าน การรักษาเส้นทาง ส่วนกรณีชายชุดดำนั้น จำไม่ได้ว่ามีอยู่ในสำนวนคดีหรือไม่