พิชัย รัตตกุล นัก ′วาดภาพ′ รุ่นลายคราม

มติชน 14 กันยายน 2555 >>>




น.ส.พ.มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 27 สิงหาคม ได้ลงบทความสัมภาษณ์ "พิชัย รัตตกุล" รองประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ มีสาระสำคัญพอสรุปได้ว่า

สมัยที่ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" เป็นนายกรัฐมนตรี เขาเคย "วาดภาพ" จะบินไปดูไบแล้วนำ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับบ้าน โดยมี "นพดล ปัทมะ" ที่ปรึกษากฎหมายของ "ทักษิณ" เป็นผู้ประสานงาน เมื่อถึงเมืองไทยก็จะตรงไปที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อขอเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และขอพระราชทานอภัยโทษ ถ้าเข้าเฝ้าฯ ไม่ได้ก็นำดอกไม้ทูลเกล้าฯ ถวายที่พระบรมสาทิสลักษณ์ พร้อมกับมอบหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษให้ผู้แทนสำนักพระราชวัง แล้วเดินทางไปเรือนจำบางขวาง และจะขอให้ "อภิสิทธิ์" สั่งกรมราชทัณฑ์เตรียมห้องขังไว้ 2 ห้อง 1 ห้องให้ "ทักษิณ" 1 ห้องให้ตัวเขาเอง เพื่อการันตีว่าจะออกจากคุกในเร็ววัน
ตอนหนึ่งเขาอ้างว่าได้ปรึกษาผู้ใหญ่ 2-3 ท่านไม่กล้ายืนยัน เพราะขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัยของพระองค์ท่าน
อีกตอนหนึ่งเขาบอกว่ามีความมั่นใจหลังจากที่ได้คุยกับผู้ใหญ่ว่า โอกาสพระองค์ท่านทรงเมตตา ไม่ติดคุกนาน และเขาจะอยู่ในคุกด้วยจนกว่าจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ ข้อเสนอเหล่านี้ตกลงเรียบร้อยแล้ว แต่คนที่ไม่ยอมมีคนเดียวคือ "อภิสิทธิ์" บอกไม่ได้เลยต้อง 2 ปีอย่างเดียว
การที่ "พิชัย รัตตกุล" ออกมาพูดเรื่องนี้เป็นการไม่สมควร เพราะเป็นเรื่องที่เขาเรียกเองว่า "วาดภาพ" และเป็นเรื่องเก่าที่ยังไม่เป็นรูปธรรม วันนี้ลำพังสถานการณ์การเมืองขมุกขมัวอยู่แล้วเมื่อข่าวที่ออกไปจะทำให้ สังคมเกิดความสับสนและวุ่นวายมากขึ้น สับสนเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" เพราะทำไม่ได้ เหตุผลคือ
1. ไม่เป็นไปตามนิติราชประเพณี
2. ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา พระธรรมนูญศาลยุติธรรม และพระราชกฤษฎีการะเบียบการถวายฎีกา
3. ขัดต่อคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ขัดเพราะ "ทักษิณ" ต้องคำพิพากษาในคดี "ที่ดินรัชดาภิเษก" ซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว และ
4. "ทักษิณ" จะต้องเป็นผู้ที่ถูกจำคุก และต้องยื่นที่เรือนจำ หรือกระทรวงยุติธรรม
การที่บอกว่า เมื่อถึงเมืองไทยก็จะพา "ทักษิณ" ไปที่โรงพยาบาลศิริราชเพื่อขอเข้าเฝ้าฯ และขอพระราชทานอภัยโทษนั้น มิชอบด้วยกฎหมาย และเป็นการจาบจ้วง
ถ้าไม่ได้เข้าเฝ้าฯ ก็จะตรงไปเข้าคุกที่เรือนจำบางขวางพร้อมกับ "ทักษิณ" แค่คิดก็ผิดแล้ว เพราะการที่จะ "จำคุก" นั้น ต้องมีคำพิพากษาของศาล และมีหนังสือส่งตัวนักโทษ เมื่อไม่ได้กระทำความผิดและไม่มีคำพิพากษาของศาล จะขอเข้าคุกพร้อมกับ "ทักษิณ" ในฐานะอะไร
การที่จะบอก "อภิสิทธิ์" ให้สั่งกรมราชทัณฑ์เตรียมห้องขังไว้ 2 ห้อง เพื่อเตรียมขัง "ทักษิณ" และตัวเขาเองนั้น แม้ "อภิสิทธิ์" เป็นนายกฯ ในขณะนั้น แต่ไม่มีอำนาจสั่ง
การที่ "พิชัย" อ้างว่าปรึกษากับผู้ใหญ่แล้ว ขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัย ข้อความอีกตอนหนึ่งก็บอกว่า หลังจากคุยกับผู้ใหญ่แล้ว มั่นใจว่า ไม่ติดคุกนาน ฯลฯ เป็นคำพูดที่กำกวม อาจก่อให้เกิดความสับสน อย่างไรก็ตาม ถือเป็นการไม่สมควรที่กล่าวอ้างถึง "ผู้ใหญ่" และใช้คำว่า "พระบรมราชวินิจฉัย" เป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาสู่การเมือง
การที่ "พิชัย" ต้องการให้เตรียมห้องขังพิเศษสำหรับ "ทักษิณ" นั้น เขาให้เหตุผลว่า มันเป็นไปไม่ได้ที่จะให้อดีตนายกฯมาลำบาก จึงจะให้ทำห้องขังให้สวยเรียบร้อย เป็นความ คิดที่ทำให้เกิด "หลายมาตรฐาน" เป็นการแบ่งชั้น เป็นเรื่องอันตราย ลืมแล้วหรือไรในดีต เราเคยมี "รัฐมนตรี" ที่มียศ "พลเอก" กระทำความผิดศาลให้จำคุก และเสียชีวิตในคุก
ต่อมาเมื่อหลายปีก่อน ก็มี "อดีตรัฐมนตรี" ที่มีความผิดทางอาญา ศาลสั่งจำคุกยังไม่พ้นโทษขณะนี้อยู่ระหว่างพักโทษ และยังบวชอยู่ ทั้ง 2 ท่านล้วนได้ใช้ชีวิตในคุกแบบเดียวกับนักโทษทั่วไป ไม่มี "ห้องขังวีไอพี"
"พิชัย" ให้เหตุผลว่าต้องการให้บ้านเมืองเกิดความ "ปรองดอง" แต่ถ้าไปจัด "ห้องขังวีไอพี" ให้ "ทักษิณ" คนส่วนหนึ่งก็ต้องไม่ยอม การประท้วงย่อมต้องเกิดขึ้น ในที่สุดคำว่า "ปรองดอง" ของ "พิชัย" ก็คือ "ยากล่อมประสาท" ดีๆ นั่นเอง
"พิชัย" กล่าวว่า ถ้าทำอย่างที่เขาพูด ทั้ง "ทักษิณ" "พรรคเพื่อไทย" และ "อภิสิทธิ์" ก็จะได้เป็น "ฮีโร่" กันหมด แต่มองต่างมุมว่า ถ้าทำอย่างที่พูด กิตติศัพท์ที่จะได้รับมิใช่ "ฮีโร่" หากเป็น "ซีโร่" และผลที่จะได้รับก็มิใช่ "win-win" อย่างที่ฝัน หากเป็น "lose-lose"
สุดท้าย "พิชัย" กล่าวว่า "เดี๋ยวนี้เรื่องที่ "วาดภาพ" ไว้ไม่เอาแล้ว ไม่ยอมไปติดคุกด้วย เพราะเพื่อไทยเป็นรัฐบาลแล้ว "ทำให้คนที่สับสนอยู่แล้วยิ่งสับสนมากขึ้น ไม่ทราบว่าประสงค์อะไร
ความจริง "ทักษิณ" มีสิทธิเต็มร้อยที่จะอยู่ในแผ่นดินไทยในฐานะที่เป็นคนไทย และมั่นใจว่าคนไทยยินดีให้เขากลับบ้าน เพราะ "ทักษิณ" ยังได้รับความนิยมจากคนไทยเป็นจำนวนมาก ผลจากการเลือกตั้งที่ชนะเด็ดขาดเมื่อ 3 กรกฎาคม 2554 ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่า ความนิยมพรรคเพื่อไทยสูง สูงเพราะความนิยมในตัว "ทักษิณ" อย่างแท้จริง
แต่ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ต้องสะสางคดีให้เรียบร้อย และถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ทั้งนี้รวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วย จะต้องทำงานนี้ให้ถูกต้อง เพราะเป็นเรื่องใหญ่
ไม่ว่าพรรคเพื่อไทย หรือบุคคลใดที่จะทำเรื่องให้ "ทักษิณ" กลับบ้าน ต้องปราศจากอคติ 4 ประการ คือ ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ และ ภยาคติ จึงจะดูสง่างาม
การที่ "ท่านผู้เฒ่า" ออกมาให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ เป็นการ "เสียรังวัด" เพราะว่า วันนี้ ท่านเป็นนักการเมืองที่อาวุโสสูงสุดในประเทศไทย การที่พูดอะไรออกไปคนส่วนใหญ่จะฟังและเชื่อ ไม่ว่าจะถูกหรือผิด เพราะอดีตเคยเป็นรองนายกรัฐมนตรีหลายสมัย และรัฐมนตรีอีกหลายกระทรวง คำพูดมีอิทธิพลต่อผู้ฟัง เพราะเป็นความเชื่อของเรื่อง "แบรนด์" อันอาจเป็นเหตุให้ผู้ฟังสับสน และไม่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมืองด้วย เรื่องที่พูดถึงนั้นเป็นเพียงการ "วาดภาพ" ส่วนหนึ่งอ้างว่าได้ทำ อีกส่วนหนึ่งอ้างว่าเสียใจที่ไม่ได้รับความร่วมมือจาก "นพดลบริการ"
ที่สำคัญคือ "ท่านผู้เฒ่า" วัย 87 ซึ่งย่างเข้าปัจฉิมวัยไปนานแล้ว เข้าขั้นที่ฝรั่งเรียกว่า "senility" ไม่ว่าจะเป็นการพูด หรือการกระทำ โอกาสผิดพลาดสูง เช่น
"เหมา เจ๋อ ตง" ประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนในวัยชรา ไม่ว่าการพูดจา การสั่งงาน หรือความคิดเห็นทางการเมืองมีความผิดพลาดและมีโทษมหันต์ ทำให้ชีวิตคนจีนทั่วประเทศต้องตกอยู่ในสภาพที่ "อัตคัด"เป็นความอัตคัดที่เกิดจากการปฏิวัติทางวัฒนธรรม เพราะเกิดการตัดสินใจผิดพลาดของ "เหมา" คนจีนต้องใช้ชีวิตใน "ยามยาก" ถึง 10 ปี เป็นยามยากที่คนจีนเรียกกันว่า "มหันตภัย"
ก็ เพราะ "เหมา" ย่างเข้าปัจฉิมวัย ความจำบกพร่องความคิดเลอะเลือน ซึ่งเกิดจากความชราความแก่หง่อม ทั้งที่ขณะนั้นอายุของ "เหมา" ยังน้อยกว่า "พิชัย" ในขณะนี้ (มิได้หมายความว่าคนที่ย่างเข้าวัยชราจะมีอาการเช่นว่าทุกคนเสมอไป)
ฉะนั้น "ท่านผู้เฒ่า" ควรจะปลีกวิเวก ธำรงไว้ซึ่งความเป็น "ปูชนียบุคคล" หรืออย่างที่ "มติชน" ตั้งให้คือ "ปูชนียประชาธิปัตย์" เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในยามนี้ และดูมีราคา