ศ.ดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ นักรัฐศาสตร์จากรั้วมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนักวิชาการด้านสันติภาพ ร่วมอภิปรายในงานสนทนาพิเศษ “กระบวนการสันติภาพปาตานีในบริบทอาเซียน” เมื่อ 7 กันยายน 2555 ได้ประมวลความเห็นและข้อเสนอโดยตรงถึงขบวนการต่อสู้ปาตานีเป็นภาษาอังกฤษ โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ (DSJ) แปลคำอภิปรายเป็นภาษาไทย
ผู้จัดได้ขอให้ผมพูดเรื่องกระบวนการสันติภาพ ปกติผมไม่ค่อยจะตามใจผู้จัด ฉะนั้น สิ่งที่ผมจะทำ คือการ “ทำ” กระบวนการสันติภาพ ประเด็นที่สอง ผมคิดว่า ผู้ที่เป็นผู้ฟังหลักของผมอาจจะไม่ได้อยู่ในห้องนี้ เพราะว่าผมต้องการที่จะพูดกับขบวนการต่อสู้แห่งปาตานี ฉะนั้น กลุ่มผู้ฟังหลักของผมคือกลุ่มขบวนการ
ผมจะพูดถึง 4 คำ คำแรกคือ ปัญหา คำที่สองคือ สมมติฐาน คำที่สามคือ คำถาม และคำสุดท้ายคือ ความรู้ จะขอเริ่มต้นด้วย ‘ปัญหา’ เรามีปัญหาอยู่ 2 ประเภท คือปัญหาของรัฐไทยและปัญหาของฝ่ายขบวนการ ปัญหาของรัฐไทยได้มีการพูดถึงมากและมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างเข้มข้นในงานของศ.ดร. ดันแคน แมคคาร์โก ในหนังสือของเขา เรื่อง “Tearing Apart the Land” หรือ “ฉีกแผ่นดิน” ซึ่งสำนักพิมพ์คบไฟกำลังจัดพิมพ์ฉบับแปลภาษาไทย
ในความเข้าใจของผม ประเด็นเรื่องภาคใต้นี้ รัฐไทยกำลังเผชิญกับปัญหาที่เขา [ศ.แม็คคาร์โก] และผมเรียกว่า “โรคความชอบธรรมบกพร่อง” ไม่มีหนทางอื่นที่จะออกจากตรงนี้ได้ จะต้องจัดการกับปัญหา นั่นคือปัญหาของรัฐไทย เป็นโรคที่รัฐไทยได้เผชิญ แต่ปัญหาของฝ่ายขบวนการเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผมคิดว่าพวกเขากำลังเผชิญกับ “สภาวะตาบอด” ซึ่งเป็นผลมาจากการใช้ความรุนแรง การตาบอดนี้เป็นเพราะเครื่องมือที่ใช้ ก็คือความรุนแรง
ผลก็คือ มีคนเสียชีวิตไปแล้วกว่า 5,000 คน ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมดที่เป็นฝีมือของขบวนการ เรายังคงจะต้องหาว่า มีจำนวนเท่าไหร่ที่เสียชีวิตจากการกระทำของขบวนการ จำนวนเท่าไหร่เสียชีวิตจากฝีมือของรัฐไทยหรือทหารพราน หรือว่าเกิดจากอาชญากรรมปกติ นี่คือปัญหาสองด้าน สำหรับ ‘สมมติฐาน’ ผมมีสมมุติฐานเกี่ยวกับขบวนการดังนี้
1. ผมคิดว่าขบวนการเป็นคนที่มีเหตุมีผล พวกเขาไม่ใช่คนที่เสียสติ ถ้าพวกเขาเป็นคนที่ไม่มีเหตุผลหรือเสียสติ ผมจะไม่เสียเวลาพูดกับพวกเขา
2. การใช้ความรุนแรงของพวกเขาเป็นสิ่งที่อธิบายได้ เพราะว่ามันเป็นเครื่องมือ และพวกเขาก็ใช้มันในฐานะเครื่องมือ
3. จากมุมของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาต่อสู้ สามารถมองได้ว่ามีความชอบธรรม ผมพูดว่า จากมุมของพวกเขา แต่จากมุมของคนอื่น แน่นอน มันไม่ชอบธรรม นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่า เรากำลังมีปัญหาเรื่องทัศนคติที่แตกต่างกัน เรากำลังเผชิญกับปัญหาที่ ศ.ดร.แมคคาร์โก พูดเกี่ยวกับเรื่องของความจริง และเรากำลังประสบกับปัญหาเดียวกัน
4. ผมไม่คิดว่ากลุ่มขบวนการเป็นกลุ่มก้อนเนื้อเดียวกัน ผมคิดว่าพวกเขามีความหลากหลาย ผมคิดว่าพวกเขาเองก็มีสภาวะที่แตกเป็นกลุ่มเล็กๆ และมีความแตกต่างกันในระหว่างสมาชิกด้วยกันเอง ซึ่งประเด็นนี้ก็อาจจะไม่ได้เป็นลักษณะเฉพาะของปัตตานีเท่านั้น ผมคิดว่าที่อื่นๆ ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน
5. ผมคิดว่าขบวนการและการต่อสู้ของพวกเขานั้น ได้รับอิทธิพลจากความขัดแย้งใหญ่ในโลก เราสามารถที่จะวางการต่อสู้ของพวกเขาในบริบทของโลกได้ ถ้าเรามองย้อนกลับไป 40-50 ปี เราสามารถที่จะพูดถึงบริบทของขบวนการชาตินิยมต่อสู้เพื่อเอกราชเมื่อครึ่งศตวรรษที่แล้ว เราหมุนเวลาผ่านไป 30 ปี ก็จะเป็นช่วงของการปฏิวัติอิสลาม อีก 20 ปีต่อมา เราเห็นความเปลี่ยนแปลงอีกในโลก และเมื่อปีที่แล้ว เราก็เห็นความเปลี่ยนแปลงในกลุ่มประเทศอาหรับที่เรียกกันว่า Arab Spring จะเห็นได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงทั่วโลก
ผมเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ มีผลต่อความขัดแย้งในระดับท้องถิ่นไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ประเด็นในระดับท้องถิ่นนี้ สามารถที่จะวางไว้ในบริบทที่กว้างกว่าได้เช่นกัน ซึ่งในบางส่วนก็มีการใช้การก่อการร้ายด้วย
สำหรับ ‘คำถาม’ คำถามที่ผมต้องการจะถามสมาชิกขบวนการที่เป็นทั้งสุภาพบุรุษและสตรีคือ เราจะช่วยขบวนการได้อย่างไร เพื่อที่ว่าพวกเขาจะไม่เห็นว่าความรุนแรงมีความจำเป็นอีกต่อไป
เมื่อวานนี้ (6 กันยายน 2555) ในการพูดของผม ผมพูดนิดหน่อยเกี่ยวกับเรื่องการใช้ความรุนแรง ซึ่งกล่าวโดยย่อ ผมบอกว่าความรุนแรงนั้นทำลายอำนาจ ศ.ดร.แมคคาร์โก ขอให้ผมอธิบาย ซึ่งผมก็พูดอะไรบางอย่าง แต่อาจจะไม่ค่อยเป็นเหตุเป็นผลมากนัก และผมจะลองอีกที
ถ้าหากว่าคุณต้องการเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างความรุนแรงและอำนาจ ลองพยายามเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างการข่มขืนกับการมีความสัมพันธ์ทางเพศ (sexuality) การข่มขืนฆ่ากับการทำลายความสัมพันธ์ทางเพศ ในความสัมพันธ์ทางเพศ คุณมีความรัก คุณมีความเข้าใจ คุณมีความใกล้ชิดสนิทสนม แต่ว่าเมื่อเกิดการข่มขืนเกิดขึ้น สิ่งเหล่านั้นก็หายไปหมด นั่นเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ทางเพศ
ในลักษณะเดียวกัน เมื่อความรุนแรงเกิดขึ้น อำนาจก็มลายหายไป ดังนั้น การใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นเมื่อคุณรู้สึกว่า คุณไม่มีอำนาจ นั่นคือความจริงพื้นฐานที่นักรัฐศาสตร์ในโลกส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดาย พวกเขาสามารถที่จะถกเถียงอภิปรายเรื่องนี้ได้ตลอดเวลา
ทีนี้ผลก็คือ ขบวนการจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจในหลายๆ เรื่อง อย่างน้อย 3 ประเด็น ผมคิดว่า วาระทางการเมืองของพวกเขา ควรได้ริเริ่มและสร้างอย่างรอบคอบในพื้นที่สาธารณชน ทั้งในบริบทของท้องถิ่นและระดับชาติ ซึ่งบางทีพวกเขาอาจจะต้องการความช่วยเหลือ ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน
สอง พวกเขาต้องเข้าใจผลกระทบของการใช้ความรุนแรงต่อสิ่งที่พวกเขาต้องการต่อสู้อย่างเป็นจริงมากขึ้น สาม พวกเขาต้องคิดถึงความเป็นไปได้ของการใช้สันติวิธีแทนความรุนแรง
มีงานศึกษาเกี่ยวกับกลุ่มติดอาวุธในโลกนี้มากมายหลากหลาย บางชิ้นก็ศึกษากลุ่มติดอาวุธ 60 กลุ่มใน 4 ทวีป งานเหล่านี้ต่างก็ได้ข้อสรุปเดียวกัน ซึ่งผมอยากจะอ่านอะไรบางอย่างให้ฟัง ย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า นี่ไม่ใช่สำหรับพวกคุณที่อยู่ในห้องนี้ แต่ (อ่าน) สำหรับขบวนการ
นี่เป็นคำพูดของนายมูเซเนวี ซึ่งเป็นหัวหน้าของกองทัพต่อต้าน (Resistance Army) ในประเทศอูกานดา บุคคลคนนี้มีความสำคัญ และเขากล่าวสิ่งนี้ เขากล่าวว่า พวกคุณจะต้องไม่ทำงานผิดพลาด ดังนั้น เวลาที่คุณเลือกเป้าหมาย คุณต้องเลือกเป้าหมายอย่างรอบคอบ
“สิ่งแรก คุณจะต้องไม่โจมตีคนที่ไม่ติดอาวุธ ต้องไม่ทำ...ไม่ทำ...ไม่ทำ...เด็ดขาด นี่คือคำแนะนำ ไม่ใช่จากบุคคลที่เป็นนักศีลธรรม แต่มาจากหัวหน้ากลุ่มติดอาวุธ”
นายมูเซเนวีมีความสำคัญเพราะว่าหลายปีต่อมาเขาได้ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของอูกานดา เรื่องราวนี้อยู่ที่ไหน มันอยู่ในวารสารที่ชื่อว่า Military Review ซึ่งเป็นวารสารด้านการทหาร มีงานศึกษาต่างๆ มากมายที่พวกคุณควรจะทำความเข้าใจ มันมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะเข้าใจเกี่ยวกับการไม่ใช้ความรุนแรง อาจารย์อะหมัดสมบูรณ์ (บัวหลวง) พูดว่า มีการพูดคุยมากมายเกี่ยวกับการไม่ใช้ความรุนแรงและสันติภาพ แต่ผมคิดว่า มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าใจเรื่องเหล่านี้อีกมากว่า มันทำงานอย่างไร และมันคืออะไรกันแน่
ผมจะขอยกตัวอย่างอีกอันหนึ่ง มีบทสัมภาษณ์ในประเทศตูนีเซีย อาจกล่าวได้ว่า ตูนีเซียเป็นกรณีที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิด Arab Spring และมันเกิดขึ้นอย่างสันติวิธีและประสบความสำเร็จ
นักข่าวได้ไปถามหนึ่งในแกนนำการเคลื่อนไหวว่า พวกเขาได้ต่อสู้กับรัฐมานาน ถ้าหากว่าพวกเขามีปืน จะเกิดอะไรขึ้น นักเคลื่อนไหวคนนั้นตอบโดยไม่ลังเลว่า ผู้คนเป็นเรือนพันจะต้องตาย หากว่าประชาชนมีปืน สำหรับพวกเขา การริเริ่มใช้ความรุนแรง ก็คือจุดจบของอำนาจประชาชน นั่นคือสิ่งที่เป็นแรงบันดาลใจของตูนีเซียและอาจจะอียิปต์ด้วย
ลองดูสิ่งที่เกิดขึ้นในซีเรีย เมื่อมหาอำนาจเข้าไปสนับสนุนฝ่ายต่อต้าน การปะทะด้วยความรุนแรงยังไม่หยุด แม้กระทั่งในเวลาที่ผมกำลังพูดอยู่นี้
อีกอย่างหนึ่งที่พวกคุณจะต้องเข้าใจคือ คุณควรจะดูถึงความสำเร็จของกระบวนการต่อสู้ที่ไม่ใช้ความรุนแรงในช่วงตั้งแต่ปี ค.ศ. 1940-2006 เปรียบเทียบกับการต่อสู้ด้วยความรุนแรง คุณจะเห็นว่าความสำเร็จของการต่อสู้ด้วยความรุนแรงลดลงจาก 40 เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ หมายถึงว่า ในช่วงทศวรรษ 1960 ความสำเร็จนั้นสูงสำหรับการใช้ความรุนแรง แต่ในช่วงปี 2006 มันได้ลดลง
เมื่อคุณมองดูความสำเร็จของการต่อสู้ด้วยสันติวิธี มันเพิ่มขึ้นจาก 40 เป็น 70 เปอร์เซ็นต์ กราฟของผมง่ายมาก ความสำเร็จของการต่อสู้ด้วยรุนแรงลดลงจาก 40 เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ ความสำเร็จของการต่อสู้ด้วยการไม่ใช้ความรุนแรงในโลกเพิ่มขึ้นจาก 40 เป็น 70 เปอร์เซ็นต์
ประเด็นที่สองที่คุณจะต้องรู้คือ เราควรที่จะตั้งคำถามว่า เราควรจะใช้ความรุนแรงต่อไปไหม แล้วเราจะได้อะไร ผมขอพูดสิ่งนี้ว่า 5 ปีหลังจากการต่อสู้ด้วยความรุนแรงจบ โอกาสที่สังคมนั้นจะเป็นประชาธิปไตยมีเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าใช้สันติวิธี โอกาสมี 41 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้น 5 ปีหลังความขัดแย้งจบลง เราก็คงจะไม่ได้เห็นประชาธิปไตย คุณจะมีโอกาสเพียง 4 เปอร์เซ็นต์ โอกาสของคุณจะเพิ่มขึ้น 10 เท่า หากว่าคุณใช้สันติวิธี
ประเด็นสุดท้าย โอกาสของการเผชิญกับสภาวะสงครามกลางเมืองเมื่อความขัดแย้งจบลง
10 ปีหลังจากความขัดแย้งจบลง โอกาสในการเกิดสงครามกลางเมืองคือ 43 เปอร์เซ็นต์ หากว่าคุณใช้ความรุนแรง และ 28 เปอร์เซ็นต์ หากว่าคุณใช้การต่อสู้อย่างสันติวิธี
ผมอยากจะกลับไปที่ประเด็นเรื่อง สมมติฐานถึงขบวนการที่รักทุกท่าน ผมเข้าใจว่าพวกคุณเป็นคนที่มีเหตุมีผล ผมเข้าใจว่าพวกคุณไม่ใช่คนที่เสียสติ ผมเข้าใจว่าพวกคุณต่อสู้อย่างมีเหตุผล ผมคิดว่ามันมีความจำเป็นอย่างยิ่งในขณะนี้ที่จะต้องร่วมกันค้นหาทางเลือกทางการเมืองอย่างจริงจัง ศ.ดร.แมคคาร์โก ได้กล่าวว่า สิ่งนี้เป็นปัญหาทางการเมืองซึ่งต้องการทางออกทางการเมือง และทางออกทางการเมืองจำเป็นจะต้องมาจากทุกๆ ฝ่ายของความขัดแย้ง สิ่งที่จำเป็นมากกว่าคือ ความเข้าใจถึงผลของความรุนแรงต่อการต่อสู้ของพวกคุณ มันจะทำให้พวกคุณอ่อนแอลง
ผมเลือกที่จะพูดกับฝ่ายขบวนการในวันนี้ เพราะว่า ผมได้ใช้เวลาหลายปีในการพูดกับรัฐ และผมจะยังคงทำต่อไป แต่ผมหวังว่า เวทีนี้จะทำให้เกิดกระบวนการสันติภาพในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง มันไม่ได้หมายความว่า คุณจะต้องมานั่งเผชิญหน้า และก็ไม่ได้หมายความว่า คุณจะต้องหลบซ่อนอยู่ในตู้ นี่เป็นการสนทนาในรูปแบบหนึ่ง และเป็นการสนทนาแบบเปิด
นี่คือสิ่งที่ผมต้องการที่จะยื่นให้กับคุณ ผมเป็นมุสลิม แต่ผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ปาตานี ผมตระหนักในสิ่งนี้ดี แต่ในฐานะของนักวิจัยเรื่องสันติภาพและนักทฤษฎีด้านการไม่ใช้ความรุนแรง ผมคิดว่า พวกคุณจำเป็นอย่างมากที่จะเข้าใจถึงพลวัตรของการต่อสู้โดยไม่ใช้ความรุนแรง ซึ่งจะทำให้กระบวนการสันติภาพนั้นเกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีประโยชน์และทำลายสังคมใหญ่น้อยลง
คำถามจาก รุ่งระวี เฉลิมศรีภิญโญรัช
คำถาม: ดิฉันเป็นนักข่าว เป็นคนกรุงเทพฯ เป็นคนพุทธ เป็นลูกศิษย์อาจารย์ชัยวัฒน์ ต้องอธิบายหลายอย่างหน่อยก่อนที่จะพูดนะคะ อยากจะส่งเสียงแทน เพราะคิดว่าการเป็นคนพุทธและคนกรุงเทพฯ อาจจะทำให้พูดอะไรบางอย่างได้มากกว่าคนในพื้นที่ที่เป็นคนมลายูมุสลิมที่มีโอกาสได้ไปสัมผัสและพูดคุยด้วย จริงๆ ชอบสิ่งที่อาจารย์ชัยวัฒน์อธิบายมากและคิดว่ามันมีพลังมาก
อยากจะลองท้าทายสิ่งที่อาจารย์พูดจากสิ่งที่ไปได้ยินได้ฟังมาจากคนที่อยู่ในขบวนการบางคน เขาเล่าว่า ที่อาจารย์พูดว่า ความรุนแรงทำให้อำนาจเขาน้อยลง และควรจะที่จะใช้สันติวิธีในการต่อสู้ แต่ในมุมของคนที่เขาต่อสู้ เขาอาจจะบอกว่า หะยีสุหลงหายตัวไปหลังจากเสนอข้อเสนอ 7 ข้อ ซึ่งนั่นเป็นการเรียกร้องอย่างสันติวิธีที่เคยเกิดขึ้นมาในประวัติศาสตร์ แต่เมื่อมีการเรียกร้องเช่นนั้นแล้ว สิ่งที่ได้รับก็คือ เขาหายตัวไป จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น
หลังจากนั้นก็มีการก่อตัวของขบวนการติดอาวุธตั้งแต่ปี 1960 มาและไม่เคยจบจนถึงขณะนี้ คนที่อยู่ในขบวนการบางคนก็พูดว่า เขาไม่เชื่อมั่นในหนทางการต่อสู้ในหนทางรัฐสภาหรือการต่อสู้ในระบบ เพราะมันไม่เคยทำให้เขาได้ในสิ่งที่เขาเรียกร้องอย่างแท้จริง กลุ่มวะดะห์อยู่ในอำนาจ ก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากนัก แล้วถ้าหากว่าเขาไม่มีกองกำลังทหารอยู่ ทุกวันนี้ รัฐบาลก็คงไม่ฟังเขา ภาษาที่รัฐใช้จากปี พ.ศ. 2447 มาจนถึงตอนนี้ เราก็เห็นได้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงมาระดับหนึ่ง นั่นเป็นผลจากการที่พวกเขาได้ต่อสู้ในหนทางแบบนี้หรือเปล่า แล้วถ้าจะพูดคุย รัฐบาลจะหลอกเขาหรือเปล่าให้ออกมา เพื่อที่จะทำลายขบวนการ นี่เป็นประเด็นที่อยากจะลองถามอาจารย์ว่าอาจารย์จะตอบพวกเขาอย่างไรบ้าง
ศ.ดร.ชัยวัฒน์ ตอบ :
คำถามที่ 1 เรื่องของหะยีสุหลง ผมคิดว่ามีการพูดกันเยอะว่า ท่านหะยีสุหลงจากไปแล้ว หายไป ผมคิดว่าเป็นการเข้าใจผิดอย่างสาหัส ผมไม่เคยรู้สึกเลยว่าหะยีสุหลงมีชีวิตเลื่องลือ เป็นที่ชื่นชมมากเท่ากับในหลายปีที่ผ่านมา ในทุกวงที่ผมไป ข้อเสนอของหะยีสุหลง come alive (กลับมามีชีวิต) ทั้ง 7 ข้อ ผมคิดว่าถอยไป 30 ปี 1 อาทิตย์ 2 เดือน หลังจากท่านหะยีสุหลงหายไป ผมคิดว่าชื่อเสียงของท่านไม่ขจรขจาย ไม่ได้มีชีวิต ไม่ได้โด่งดังเหมือนกับสมัยนี้เลย เพราะฉะนั้นผมคิดว่า message ของหะยีสุหลงคืออะไร หะยีสุหลงเป็นตัวแทนของการเรียกร้องที่ชอบธรรม เป็นตัวแทนของการเรียกร้องที่เป็นสันติวิธี ข้อเสนอทั้ง 7 ข้อ ไม่ได้เสนอให้แม้กระทั่ง British Malaya แต่เสนอให้กับฝ่ายสยาม ฝ่ายไทยในสมัยนั้น ผมกำลังจะบอกว่า มีวิธีการแก้ปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไร วันนี้ก็มีความพยายามที่นำข้อเสนอของหะยีสุหลงมาพูดในเวทีเกือบทุกเวที แปลว่าอะไร แปลว่าความคิดนี้ยังมีชีวิตอยู่
คุณสมชาย นีละไพจิตร หายไป แต่ว่างานที่คุณสมชายทำ มรดกที่คุณสมชายมี การต่อสู้เพื่อความยุติธรรม มูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมก็ใช้คุณสมชายเป็นแรงบันดาลใจ ....ในแง่นี้ เวลาบอกว่าใครเป็นใครตาย ไม่ใช่ดูแค่ว่าชีวิตจากไปไหม จะพูดในทางศาสนาก็ได้ ทางการเมืองก็ได้ ความตายของบุคคลเหล่านี้มีความหมายมหาศาล แต่มันปลูกอะไร มันปลูกความหวัง มันปลูกการต่อสู้ใช่ไหม
คำถามต่อไปคือ ต่อสู้อะไร ต่อสู้ด้วยวิธีไหน คุณสมชายต่อสู้ด้วยการใช้กฎหมาย ด้วยความเชื่อในระบบกฎหมายของรัฐ และด้วยความกล้าหาญ อันนี้ไม่ใช่เหรอเป็นแนวทางของสันติวิธีตลอดมา
คำถามที่สอง ... สันติวิธีไม่ใช่เรื่องของรัฐสภานะครับ รัฐสภาเป็นส่วนนิดเดียวของสันติวิธี ...ผมไม่ได้หมายความว่าให้นั่งเฉยๆ เขียนจดหมาย การต่อสู้ด้วยสันติวิธีมีนับไม่ถ้วนวิธีเลย สันติวิธีไม่ใช่แค่เดินขบวนบนถนนแล้วบอกว่า นี่เป็นการต่อสู้ด้วยสันติวิธี อยู่ที่บ้านก็เป็นได้ หลังเหตุการณ์พฤษภา’35 ผมเสนอว่า วิธีการหนึ่งที่จะต่อสู้กับเผด็จการทหารในสมัยนั้น ผมพูดกับนักหนังสือพิมพ์ว่า ลองถอนเงินจากธนาคารในสมัยนั้นดูสิ สะเทือนเลย การถอนเงินเป็นสิทธิโดยชอบของประชาชนทุกคน เงินเป็นของคุณ แต่ถามว่าถอนแล้วเกิดอะไรขึ้น ผมว่าสะเทือนเลย ไม่กี่วันหลังจากนั้น กรรมการผู้จัดการธนาคารแห่งหนึ่งออกมาพูดว่า ธนาคารของเราไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับฝ่ายที่ยึดอำนาจหรือฝ่ายทหาร
สันติวิธีมีเยอะ ที่จะทำการต่อสู้แบบนี้ได้ สภาก็เป็นส่วนหนึ่ง แต่มันเล็ก การเจรจาก็ส่วนหนึ่งแต่ไม่ใช่ทั้งหมด
ทีนี้ถามว่า ใช้ความรุนแรงแล้วเป็นอย่างนี้ คุณนาตยาถามว่า แล้วชาวบ้านในหมู่บ้านเป็นยังไง ผมว่าน่าสนใจนะครับ ทุกเวทีทุกสถานการณ์ที่มีความขัดแย้งชนิดที่ถึงตาย ระหว่างฝ่ายหนึ่งเป็นภาครัฐและอีกฝ่ายหนึ่งเป็นอะไรก็แล้วแต่ คนที่เดือดร้อนลำบากคือใคร ผมว่าชาวบ้านธรรมดาที่เดือดร้อน คนธรรมดาๆ ตอนนี้ติดกับในสิ่งเหล่านี้ แล้วจะให้เขาพูดอะไร เวลานี้เขาทำอะไร เขาก็ทน ถามเขา เขาก็ไม่พูด นี่คืออันตรายไม่ใช่เหรอ ผมคิดว่าสิ่งที่เรียกร้องก็คือว่า วันนี้พูดกับผู้ก่อการ เพราะว่าพูดกับภาครัฐมาเยอะแล้ว จนเขารำคาญแล้ว แต่ในสถานการณ์อย่างแบบนี้ คนที่ตกเป็นเหยื่อก็คือชาวบ้านธรรมดา ฉะนั้นเวลาบอกว่าจะต้องฟังเสียงของชาวบ้าน ผมว่าความปลอดภัยชีวิตปกติเป็นอย่างนี้
คิดดูนะครับว่าเด็กวันนี้ที่อายุ 10 ขวบในหมู่บ้านเล็กๆ ในยี่งอ (จังหวัดนราธิวาส) โตมาโดยที่ไม่ได้เห็นเลยว่า พื้นที่ตรงนี้มีความปลอดภัยขนาดไหน 10 ขวบแล้วนะ แล้วเราอยากจะเห็น generation ต่อไปเป็นอย่างนี้หรือ แล้วหน้าที่ของ peace research หน้าที่ของการทำงานเพื่อสันติภาพคืออะไร ถ้าไม่คิดถึง generation ต่อไป ผมว่านี่คือโจทย์สำคัญและสันติวิธีพยายามที่จะพูดถึงปัญหาตรงนี้ ไม่ใช่แค่บอกว่ามี autonomy หรือ peace process นี่เป็นส่วนหนึ่งของมัน แต่ความรุนแรงก็เป็นเงื่อนไขเบื้องต้น ถ้าไม่ทำเช่นนี้ เรื่องอื่นก็จะตามมาไม่ได้
ผมคิดว่าเป็นเวลาที่ดีที่จะต้องทำเรื่องนี้อย่างจริงจังสักที และทำความเข้าใจการใช้สันติวิธีทั้งภาครัฐและใครก็ได้ที่ใช้ความรุนแรงในเวลานี้ ผมคิดว่า ดูเบาอำนาจของมันมากเกินไป แล้วหลงอยู่ในกับดักของความรุนแรงทั้งสองฝ่าย ได้เวลาเปิดตาหรือยัง