'วัฒน์' ชี้การต่อสู้ของคนเสื้อแดงเป็นการต่อสู้ทางชนชั้น ไม่ใช่ความดี-ความชั่ว



ทีมข่าว นปช.
16 กันยายน 2555




วานนี้ (15 ก.ย. 55) คารม พลพรกลาง, วัฒน์ วรรลยางกูร, นภาพร อติวานิชยพงศ์ และ บุญมี วันดี ร่วมงานเสวนา "หัวใจไม่แพ้ สมยศ พฤกษาเกษมสุข" โดย เครือข่ายญาติและผู้ประสบภัยจาก ม.112 ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา ถ.ราชดำเนิน กรุงเทพ
นภาพร กล่าวว่า ตนเองรู้จักกับสมยศมาตั้งแต่ปี 2529 เขาเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกองค์กรด้านสิทธิแรงงานของกรรมการ เป็นผู้ที่มีความสามารถในการทำงานหลายด้าน เช่น การเขียนข่าวด้านแรงงาน และประสานงานกับองค์กรด้านแรงงานต่างประเทศ
สมยศเคยช่วยประสานงานเพื่อเรียกร้องค่าชดเชยให้กับอดีตพนักงานโรงงานตุ๊กตา บริษัท เคเดอร์ อินดัสเทรียล ไทยแลนด์ จำกัด ซึ่งเสียชีวิตจากเหตุการณ์ถูกเพลิงไหม้ปี 2536 กับบริษัทแม่ที่ฮ่องกง จนญาติของผู้เสียชีวิตเหล่านี้ได้รับเงินชดเชยรายละกว่า 100,000 บาท ซึ่งถือเป็นเงินที่สูงในสมัยนั้น
คารม กล่าวว่า ตนเองเป็นทนายความมากว่า 24 ปี ตนเองเป็นทนายความอิสระที่ไม่ได้สังกัดทั้งสภาทนายความ และสมาคมทนายความ ก่อนหน้านี้สมาคมทนายความได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือผู้ถูกคุมขังเสื้อแดงในเรื่องการขอประกันตัว แต่สภาทนายความกลับไม่เคย
คดี ม.112 ทุกครั้งที่ตนเองต้องขึ้นศาลจะรู้สึกสบายใจ เพราะรู้ดีว่า แพ้ตั้งแต่ออกจากบ้าน แต่ขณะนี้กำลังทำคดี ม.112 คดีหนึ่ง ซึ่งผู้ต้องหาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่ถูก พธม. กลั่นแกล้งด้วยการนำใบปลิวโจมตีสถาบันไปวางไว้หน้าบ้าน คดีนี้ตนเองค่อนข้างเชื่อมั่นว่า ลูกความของตนเองจะประสบชัยชนะ
ตนเองทำคดีของสมยศ และต้องรู้สึกเจ็บช้ำที่ได้เห็นลูกความของตนเองต้องถูกส่งตัวไปสืบพยานในหลายจังหวัด ซึ่งเป็นเรื่องที่ทรมานมาก ตนเองได้ยื่นคำร้องคัดค้านการส่งตัวไป จ.สงขลา แต่ศาลกลับไม่รับฟัง เขาเป็นโรคเก๊าท์ แต่เขาต้องยืนตลอดเส้นทางไปจนถึง จ.สงขลา โดยไม่ได้แม้แต่จะเข้าห้องน้ำสักครั้ง
คดีของสมยศนั้นตนเอง และน้องชายต่อสู้เรื่อง พรบ.จดแจ้งการพิมพ์ เพราะเคยมีฎีกาคดีที่ ชวน หลีกภัย ฟ้องร้อง บก.หนังสือพิมพ์ แต่ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง เพราะ พรบ.จดแจ้งการพิมพ์ ระบุว่า บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไม่ต้องรับผิดจากบทความที่ถูกตีพิมพ์
บทความเรื่อง "โรงแรมผี" ตนเองจำเป็นต้องเผยชื่อจริงของนามปากกา จิตร พลจันทร์ เพื่อที่ลูกความจะไม่ต้องรับโทษหนัก เนื้อหาในบทความนั้น ผู้อ่านไม่รู้ว่า "หลวงนฤบาล" เป็นใคร
ก่อนหน้านี้ตนเองเคยถามสมยศว่า ต้องการจะรับสารภาพ หรือต่อสู้คดี ซึ่งสมยศยืนยันว่า จะต่อสู้คดี ตนเองจึงได้ยื่นเรื่อง ม.112 ขัด รธน. ม.3 และ 29 ต่อศาล รธน. ทั้งที่รู้ว่า ไม่มีทางที่ศาล รธน. จะวินิจฉัยว่า ม.112 ขัดต่อ รธน. แต่ตนเองต้องการอยากทราบว่า ศาล รธน. จะอ้างเหตุผลอะไร ? ขณะนี้ตนเองได้ยื่นคำร้องขอให้ศาล รธน. เร่งรัดการพิจารณาคำร้องกรณี ม.112 โดยเร็ว
ตอนที่สืบพยานคดีสมยศนั้น ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองให้การว่า คนที่ต้องการลับลอบข้ามแดนนั้นสามารถข้ามแดนตามแนวตะเข็บชายแดนได้ ไม่มีใครที่จะลักลอบข้ามแดนที่ด่านตรวจคนออกนอกประเทศ ตนเองได้นำคำให้การนี้ไปยื่นต่อศาล เพื่อขอให้ศาลอนุญาตประกันตัวสมยศ แต่ศาลก็ปฏิเสธ ดังนั้นการที่หลายคนคิดว่า การยอมอ่อนข้อกับพวกเขาจะได้รับความเมตตา ตนเองขอยืนยันว่า ไม่มีทาง อย่าไปหวังเศษของความยุติธรรมจากพวกเขาเหล่านี้ การยื่นคำร้องขอประกันตัวสมยศครั้งต่อไป ตนเองจะหยิบยกกรณีการอนุญาตให้ประกันตัวของ พธม. มาเปรียบเทียบ เพื่อให้เห็นเรื่องของ 2 มาตราฐาน และอาจจะต้องส่งเรื่องนี้ให้กับศาล รธน. วินิจฉัยด้วย ตนเองไม่เห็นเหตุผลใดที่ศาลจะไม่ให้ประกันตัว เพราะ รธน. ม.40 ระบุถึงสิทธิในการประกันตัวของผู้ต้องหาไว้ชัดเจน
มาตรฐานการประกันตัวของแต่ละคนไม่เท่ากัน ดังจะเห็นได้จากการอนุญาตให้ประกันตัวระหว่างคนรวย-คนจนไม่เท่าเทียมกัน แม้แต่กรณีขอคนเสื้อแดงที่แกนนำ นปช. ได้รับการประกันตัว แต่คนรากหญ้ากลับไม่ได้ ตนเองเห็นว่า ศาลเป็นสถาบันที่แข็งที่สุด สักวันสถาบันศาลอาจจะต้องพังทลาย เพราะความแข็งของตัวเอง 
วัฒน์ กล่าวว่า ปัญหา ม.112 เป็นเพียงยอดของ "ภูเขาน้ำแข็ง" เท่านั้น ประวัติศาสตร์ไทยหลายเรื่องไม่สามารถพูดตรงๆได้ หากกระบวนการยุติธรรมยังเป็นเช่นนี้ต่อไป สักวันอาจเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นในประเทศไทย เพราะประชาชนไม่สามารถพึ่งพากระบวนการยุติธรรมได้
การต่อสู้ทุกวันนี้เป็นเรื่องของชนชั้น ไม่ใช่เรื่องของความดี-ความชั่วอย่างที่อำมาตย์พยายามสร้างเรื่อง ลูกหลานชาวนายุคนี้ได้รับการศึกษามากขึ้น จึงต้องการส่วนแบ่งประชาธิปไตย ยังไม่เคยมีการต่อสู้ครั้งใดที่ยิ่งใหญ่เท่าการต่อสู้ในครั้งนี้
หากเปรียนเทียบการรัฐประหาร 2549 เป็นการค้าก็ต้องถือว่า เป็นการค้าที่ขาดทุนยับเยินของอำมาตย์ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนมาใช้ตุลาการแทน ตนเองเห็นว่า กรณีของอากงที่ส่ง SMS ถูกศาลพิพากษาจำคุก 20 ปีนั้น การส่ง SMS ดังกล่าวมีเพียงเลขานุการของ อภิสิทธิ เวชชาชีวะ เพียงคนเดียวที่เห็น จึงไม่เข้าใจว่า สร้างความเสียหายต่อความมั่นคงตรงไหน ? ทุกวันนี้ตนเองเริ่มสนใจที่จะเรียน กม. และไม่เคยคิดว่า ม.112 จะมีบทลงโทษที่รุนแรงขนาดนี้
ตนเองต้องเรียนรู้วิธีแก้ทางมวยกับตุลาการภิวัฒน์ ม.112 เป็นหนึ่งในกลไกควบคุมอำนาจของรัฐ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก่อรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาล ปรีดี พนมยงค์ และแต่งตั้ง ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีเพียงไม่กี่เดือนก่อนเขี่ยทิ้ง เพราะอำมาตย์ต้องการนำสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กลับมาดูแลเหมือนเดิม
ในยุคที่อเมริกาทำสงครามเย็นต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์เคยทุ่มทุมทำวิจัยในประเทศไทย และพบว่า ชาวชนบทมีความเคารพนับถือต่อสถาบันกษัตริย์อยู่ จึงสนับสนุนสถาบันกษัตริย์เพื่อต่อต้านระบอบคอมมิวนิสต์ ดังจะเห็นได้จากการที่จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่ได้รับการหนุนหลังจากทั้งสถาบัน และอเมริกา มีการรื้อฟื้นประเพณีโบราณขึ้นมากมาย เพื่อทำให้ประชาชนหลงงมงายกับประเพณีโบราณเหล่านี้ ซึ่งตนเองไม่เห็นด้วย เป็น Over Propaganda
ในยุคนั้นรัฐบาลจะออก กม. ควบคุมที่ดิน โดยห้ามการถือครองที่ดินเกิน 50 ไร่ สิ่งนี้สร้างความไม่พอใจต่ออำมาตย์อย่างมาก จนมีครั้งหนึ่งที่องคมนตรีท่านหนึ่งเดินทางไปพบกับ ดไวต์ เดวิด ไอก์ ไอเซนฮาวร์ (ประธานาธิบดีอเมริกาในยุคนั้น) ซึ่งเป็นการขัด รธน. อย่างชัดเจน แต่ไอเซนฮาวร์ก็ยังยอมให้เข้าพบ
บุญมี กล่าวว่า ตนเองรู้จักกับสมยศมาตั้งแต่เขายังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เขาเป็นคนที่มีจุดยืนมั่นคง เป็นคนแข็งกร้าว เป็นคนที่เขียนแถลงการณ์ได้ดี และแหลมคมมาก เป็นคนที่สามารถอธิบายเรื่องยากให้เข้าใจได้ง่าย
รัฐบาลหลายชุดก่อนหน้านี้เคยเชิญเขารับตำแหน่ง แต่เขาก็ปฏิเสธหมด เพราะมีจุดยืนที่จะไม่ขึ้นกับการเมือง แต่คนจากหลายๆสหภาพกลับไม่ค่อยชอบหน้าเขา จะติดต่อขอความช่วยเหลือจากเขาก็ต่อเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นแล้วเท่านั้น