ระยะนี้สถานการณ์ทางการเมืองอาจจะดูเงียบๆ ไปบ้าง ด้วยเหตุผลหลายประการอาทิ การชะลอแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือดองร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยความปรองดองแห่งชาติ ทำให้อุณหภูมิของประเทศเย็นลงไปโดยปริยาย มีแต่เพียงเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลเท่านั้น แต่ก็ยังไม่มีพลังพอชี้เป็นชี้ตายรัฐบาลได้
แต่มาในสัปดาห์นี้การเมืองจะกลับมามีความเคลื่อนไหวน่าสนใจอีกครั้ง โดยมี 3 เหตุการณ์สำคัญ เป็นตัวเร่งดีกรีการเมืองให้พุ่งสูงขึ้น
1. คณิต ณ นคร ประธานกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เตรียมแถลงรายงานการทำงานฉบับสมบูรณ์
คอป. เป็นเพียงหน่วยงานเดียวที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยยังเอาไว้ แม้ว่าจะเป็นมรดกจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม โดยตลอด 2 ปีนับตั้งแต่เริ่มงาน คอป. มีส่วนสำคัญต่อกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) อยู่พอสมควร
เห็นได้จากการเข้าไปเป็นพยานในชั้นศาลของ “คณิต” จนช่วยให้แกนนำ นปช. รายหลายได้รับการประกันตัว หลังจากต้องใช้ชีวิตในเรือนจำกว่า 9 เดือน นับตั้งแต่เหตุการณ์สลายการชุมนุมเดือน พ.ค. 2553 คอป. จึงกลายเป็นที่รักของคนเสื้อแดงไปโดยปริยาย
นปช. มีความหวังว่ารายงานของ คอป. ในวันที่ 17 ก.ย. จะออกมาในลักษณะแสดงให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่รัฐมีส่วนสำคัญกับการเสียชีวิตของคนเสื้อแดง
ถ้าเป็นแบบนั้นย่อมเป็นผลให้ นปช.มีน้ำหนักเรียกร้องให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เร่งรัดเอาผิดกับพรรคประชาธิปัตย์ได้เร็วมากขึ้น แต่หากผลออกมาเป็นตรงกันข้าม “คณิต” ก็คงกลายเป็นคู่ขัดแย้งคนเสื้อแดงไปโดยปริยาย
2. ศาลอาญานัดฟังคำสั่งสำนวนคดีไต่สวนชันสูตรพลิกศพ พัน คำกอง แท็กซี่เสื้อแดง
รายงานของ คอป. อาจไม่ใช่ตัวเร่งปฏิกิริยาการเมืองได้เท่ากับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นที่ ศาลอาญาในวันเดียวกัน เพราะศาลเตรียมมี “คำสั่ง” เกี่ยวกับการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงเป็นครั้งแรก
แม้การมีคำสั่งดังกล่าวของศาลนั้นจะไม่ใช่ลักษณะสภาพบังคับเหมือนกับ “คำพิพากษา” เพราะเป็นเพียงกระบวนการตามมาตรา 150 ของประมวลวิธีพิจารณาความอาญา แต่ก็ทำให้เสื้อแดงจ้องตาเป็นมันได้เช่นกัน กล่าวคือ มาตรา 150 บัญญัติไว้ ว่า ในกรณีที่มีผู้เสียชีวิตโดยอ้างว่ามาจากการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ การจะชันสูตรพลิกศพต้องทำโดย “อัยการแพทย์พนักงานสอบสวน” จากนั้นเป็นหน้าที่ของอัยการที่ต้องนำสำนวนการชั้นสูตรพลิกศพขึ้นต่อศาล เพื่อให้มีคำสั่ง
ในคำสั่งของศาลที่ต้องส่งถึงอัยการและพนักงานสอบสวนนั้น กำหนดให้ศาลต้องระบุว่า “ผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึงเหตุและพฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทำร้ายให้กล่าวว่าใครเป็นผู้กระทำร้าย เท่าที่จะทราบได้” ก่อนส่งสำนวนให้อัยการและพนักงานสอบสวนดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และ ดุลยพินิจ เช่น การแจ้งข้อกล่าวหา เป็นต้น เพื่อนับหนึ่งกระบวนการไต่สวนอย่างสมบูรณ์แบบต่อไป
การกำหนดให้ศาลต้องระบุว่า “ใครเป็นผู้กระทำร้าย เท่าที่จะทราบได้” เท่ากับว่าคำสั่งของศาลตามมาตรานี้กำลังจะมีผลต่อการเมืองในทางอ้อมไม่มากก็น้อย
เพราะเพียงแค่ในคำสั่งศาลมีถ้อยคำทำนองว่า “เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้กระทำร้าย” แน่นอนว่าคนเสื้อแดงจะนำประเด็นนี้มาเป็นข้ออ้างทำลายความชอบธรรมของพรรคประ ชาธิปัตย์โดยจะพุ่งเป้าไปที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” เป็นพิเศษ
โดยพร้อมใช้วันที่ 19 ก.ย. สัญลักษณ์การต่อสู้ของคนเสื้อแดง ในโอกาสครบรอบ 6 ปีแห่งการรัฐประหารรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เร่งเครื่องกำหนดท่าทีเคลื่อนไหวบีบให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์แสดงความจริงใจ ด้วยการเร่งรัดพนักงานสอบสวนให้นำคดีขึ้นสู่ศาลเพื่อมาพิสูจน์กันว่าใครผิด ใครถูก ภายหลังจากแสดงท่าทีเตะถ่วงหลายครั้ง
3. วุฒิสภาเตรียมพิจารณาลงมติสำนวนการถอดถอน สุเทพ เทือกสุบรรณ วันที่ 18 ก.ย.
กรณีนี้สืบเนื่องมาจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ส่งมาให้วุฒิสภาพิจารณาลงมติภายหลังมีความเห็นว่า การทำหนังสือไปยังกระทรวงวัฒนธรรมของสุเทพ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี เพื่อส่ง ส.ส. ไปช่วยงาน เป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 265 และ 266 ว่าด้วยข้อห้ามไม่ให้ฝ่ายการเมืองแทรกแซงส่วนราชการ แม้ว่าจะได้ถอนหนังสือมาในเวลาต่อมา แต่ก็ถือว่าเป็นความผิดที่กระทำสำเร็จแล้ว
ดูจากข้อหาแล้วนับว่ามีความฉกรรจ์จนสร้างความเครียดให้กับนายใหญ่พรรคประชาธิปัตย์พอสมควรถึงตัวเลขเสียงของ ส.ว.ที่ต้องจะมีถึง 3 ใน 5 หรือ 89 คนขึ้นไป จาก ส.ว.ทั้งหมด 146 คนจะเป็นตัวเลขที่มากอยู่
แต่เมื่อวุฒิสภาได้เปลี่ยนขั้วจากสายสรรหาในฐานะเพื่อนร่วมรบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาเป็นสายเลือกตั้งจากการขึ้นผงาดในตำแหน่งประธานวุฒิสภาของ “นิคม ไวยรัชพานิช” ส.ว.ฉะเชิงเทรา อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้
เนื่องจากเสียง ส.ว.ที่สนับสนุน “นิคม” มีถึง 77 เสียง ทำให้อีก 12 เสียงเพื่อล้มสุเทพก็ไม่ได้เป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรงของฝ่ายการเมืองในการ ลงทุนล็อบบี้ ส.ว.
เพราะหากทำสำเร็จ หมายความว่าต้องโทษเว้นวรรคทางการเมืองเป็นเวลา 5 ปี แทบไม่ต้องคิดว่าเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ขาดกุนซือชื่อ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” แล้วจะเป็นอย่างไร
ผนวกกับสองเหตุการณ์แรกที่อาจจะเป็นตัวตอกย้ำว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้มีส่วนสำคัญต่อการสร้างความสูญเสีย ย่อมมีผลต่อที่ยืนในทางการเมืองของพรรคไปโดยปริยาย
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ทั้งสามเหตุการณ์ที่กำลังอุบัติในสัปดาห์นี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีความเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน รวมทั้งสร้างความสั่นสะเทือนให้กับพรรคประชาธิปัตย์อย่างแบบมีนัยสำคัญ
