มิเชล มาสส์ พยานคดีสลายม็อบ 98 ศพ

ข่าวสด 28 กันยายน 2555 >>>




   "...ผมไม่เห็นชายชุดดำในบริเวณนั้นเลย ทิศทางกระสุนที่ยิงมาที่ผมก็มาจากฝั่งทหาร"
การสอบสวนในคดี 98 ศพ ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ คืบหน้าตามลำดับ ล่าสุด ดีเอสไอเชิญ นายมิเชล มาสส์ ผู้สื่อข่าวชาวเนเธอร์แลนด์ สังกัดหนังสือพิมพ์โฟล์กส์แรนต์ และเรดิโอเวิลด์ไวด์ วิทยุเนเธอร์แลนด์ ที่ถูกยิงในเหตุการณ์ดังกล่าวมาให้ข้อมูลหลังให้ปากคำกับดีเอสไอ นายมิเชล มาสส์ ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์วันที่ 19 พ.ค. 2553 และความรู้สึกกับน.ส.พ. ข่าวสด ไว้ดังนี้

การมาให้ปากคำได้รับการประสานจากฝ่ายไหน

ตอนแรกสถานทูตเนเธอร์แลนด์ติดต่อมาที่ผมว่ามีการเยียวยาผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ ให้ลองทำเรื่องเสนอมา ตอนแรกผมคิดว่าส่งๆ ไปคงไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ปรากฏว่าได้รับการติดต่อจากสถานทูตและดีเอสไอ นอกจากนี้ ยังได้รับการประสานจาก น.ส.จารุพรรณ กุลดิลก อีกทางหนึ่ง
ดีเอสไอพบจากไฟล์ว่าผมเป็นอีกคนที่ถูกยิงในจุดเดียวกับฟาบิโอ และผมยังมีหัวกระสุนเก็บไว้ด้วย ดีเอสไอเลยเห็นว่าผมน่าจะมีประโยชน์ต่อคดีฟาบิโอ ผมก็ยินดีที่จะมาให้การเพราะสัญญากับน้องสาวฟาบิโอไว้ จึงยินดีมาทำให้เกิดความกระจ่างตามที่สัญญา
ที่จริงก่อนหน้านี้ผมเคยให้การกับดีเอสไอไปครั้งหนึ่งแล้วเมื่อตอนเดือน พ.ค. 2554 จากนั้นเรื่องก็เงียบไปเลย กระทั่งมีการเชิญมาให้ข้อมูลครั้งนี้

การให้ข้อมูลแล้วเป็นอย่างไรบ้าง

เจ้าหน้าที่ฝ่ายสอบสวนได้ลำดับเหตุการณ์ให้ผมฟังและถามว่าเป็นอย่างที่เล่ามาหรือไม่ เจ้าหน้าที่ลำดับเหตุการณ์และสอบถามอย่างละเอียดทุกขั้นตอน เพื่อต้องการให้แน่ใจว่ารายละเอียดทุกจุดถูกต้อง ผมว่าดีที่เจ้าหน้าที่มาลำดับเหตุการณ์ใหม่ให้ฟัง เพราะเป็นการช่วยรื้อฟื้นความจำเนื่องจากเหตุการณ์ผ่านมา 2 ปีแล้ว

แล้ววันที่ 19 พ.ค. 2553 เกิดอะไรขึ้น

ตอนนั้นผมพักอยู่ที่โรงแรมย่านประตูน้ำ คืนวันก่อนหน้าวันที่ 19 พ.ค. เหตุการณ์ค่อนข้างสงบ จนผมคิดว่าไม่น่าจะมีเหตุการณ์อะไรอีกแล้ว น่าจะสงบแล้ว ผมยัง โทร .บอกภรรยาที่อินโดนีเซีย ว่าวันที่ 19 พ.ค. ผมจะกลับบ้านแล้ว
แต่พอเช้าตรู่วันที่ 19 พ.ค. ผมเปิดทีวีเห็นข่าวทหารบุกเข้ามายังแนวป้องกันที่ลุมพินี ผมจึงเดินผ่านค่ายผู้ชุมนุมที่ราชประสงค์ไปดูเหตุการณ์
พบผู้ชุมนุมบางส่วนจับกลุ่มดูความเคลื่อนไหวของทหารจากทีวี ขณะที่ส่วนใหญ่แห่กันไปที่ราชดำริเพื่อผนึกกำลังเป็นแนวป้องกัน เพราะทราบข่าวว่าทหารกำลังจะมา ผมจึงตามไปด้วยและมาถูกยิงที่หน้าตึก 185 ราชดำริ

มั่นใจใช่หรือไม่ว่าถูกทหารยิง

ค่อนข้างมั่นใจ เพราะผมไม่เห็นชายชุดดำในบริเวณนั้นเลย ทิศทางกระสุนที่ยิงมาที่ผมก็มาจากฝั่งทหาร กระสุนปืนจากบาดแผลก็เป็นกระสุนเอ็ม 16

คาดคิดหรือไม่ว่าจะถูกยิง

ไม่เลยเพราะคิดอยู่เสมอว่าหากทหารจะทำอะไรก็จะเตือนประชาชนและผู้สื่อข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์ก่อน ทหารจะใช้โทรโข่งแจ้งเตือนก่อน และคิดว่าหากจะยิงก็คงยิงขึ้นฟ้า ผมคงมองแง่ดีเกินไป วินาทีแรกที่ถูกยิงจากด้านหลังผมยังคิดว่าเป็นกระสุนยางที่ยิงมาถูกผม ฉะนั้นกรณีของผมจึงเป็นบทเรียนสำหรับนักข่าวเหมือนกันว่าในสถานการณ์ความวุ่นวายคุณไม่รู้หรอกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น

รู้สึกอย่างไรบ้างที่กลายเป็นข่าวเสียเอง

รู้สึกแปลกมาก เพราะตอนแรกตั้งใจจะมาให้ข้อมูลกับดีเอสไอเท่านั้น ผมตั้งใจมาบอกว่าเห็นอะไร รู้สึกอะไร แต่พอมาถึงตกใจที่มีสื่อมวลชนจำนวนมากสนใจมาทำข่าว ซึ่งผมไม่รู้มาก่อนว่ามีความสนใจในหมู่ประชาชนมากขนาดนี้
ที่จริงผมไม่สบายใจที่ตัวเองกลายเป็นข่าวไปด้วยเพราะกลัวจะถูกนำไปโยงกับการเมือง เพราะที่เมืองไทยยังมีการนำประเด็นการสลายการชุมนุมมาโจมตีกันเพื่อหวังผลทางการเมือง

คิดอย่างไรต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในเมืองไทย

เป็นเรื่องที่พูดยาก เป็นเรื่องของอำนาจและเป็นเรื่องของความรู้สึกของประชาชนจำนวนมากที่ไม่พอใจต่อการเลือกปฏิบัติต่อเขา
เรื่องนี้มันไม่ใช่ขาว หรือดำ ผมเข้าใจว่าสังคมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยก็จะมีเรื่องอย่างนี้ เป็นช่วงรอยต่อระหว่างเก่ากับใหม่
ที่ผมกังวลคือ ผมตกใจมากที่ความขัดแย้งนี้ผู้คนมีอารมณ์ร่วมด้วยอย่างรุนแรง และสองฝ่ายไม่พร้อมจะใช้การพูดคุยเพื่อแก้ปัญหา หากยังไม่ใช้การเจรจาเรื่องก็ไม่จบ

การทำหน้าที่นักข่าวก่อนหน้านี้เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อนหรือไม่

ไม่เลย นี่เป็นครั้งแรกระหว่างการปฏิบัติหน้าที่เป็นนักข่าว ทั้งๆ ที่ผมเคยไปทำข่าวในจุดที่อันตรายกว่านี้ เช่น ข่าวสงครามกลางเมืองที่โคโซโว
อย่างไรก็ตามแม้จะถูกยิงได้รับบาดเจ็บ ผมก็ยังโชคดีเพราะเพิ่งทราบจากแพทย์ภายหลังว่ากระสุนเฉียดปอดไปเพียง 3 ม.ม.
ดังนั้นแทนที่จะมานั่งเสียใจ หรือรู้สึกไม่ดีที่ถูกยิงก็ถือว่าโชคดีที่ไม่ตาย และไม่อยากคิดมากเพราะรู้มาว่ามีนักข่าวคนหนึ่งถูกยิงเหมือนกัน

เหตุการณ์ครั้งนี้จะยังอยากเป็นนักข่าวอยู่หรือไม่

ถึงเจออย่างนี้ก็ยังจะเป็นนักข่าวอยู่ เพียงแต่ต่อไปนี้ก็จะระมัดระวังให้มากขึ้น ผมเป็นนักข่าวมาตั้งแต่อายุ 19 ปี ไม่เคยคิดว่าจะเลิกเป็นนักข่าว ผมชอบอาชีพนี้ เพราะทำให้ตัวเองได้เห็น ได้พบผู้คน ได้เจอเหตุการณ์ที่น่าสนใจ

ประจำอยู่ที่ไหนและมาทำข่าวในเมืองไทยนานแค่ไหน

ผมปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่อินโดนีเซียเป็นหลัก แต่เป็นนักข่าวของสำนักข่าว DE VOLKSKRANT ที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ ผมมาถึงเมืองไทยเมื่อวันที่ 25 ก.ย. จะเดินทางกลับเช้าวันที่ 27 ก.ย. นี้
มารายงานข่าวในเมืองไทยตั้งแต่ปี 2546 ผมอยู่มาตั้งแต่สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็น นายกฯ ได้ทำข่าวตอนรัฐประหารด้วย นอกจากนี้ ยังเคยทำข่าวเหตุการณ์ความรุนแรงที่ภาคใต้