'โอ๊ค' เย้ยทุจริต 'CTX' แค่ 'ปาหี่ขายยา'

คมชัดลึก 30 สิงหาคม 2555 >>>




โอ๊ค อัด คตส. โฆษณาใหญ่ จะจับนักการเมืองเข้าคุกได้เป็นครั้งแรก ในคดีทุจริต ซีทีเอ็กซ์ ก็แค่ "ปาหี่ขายยา" วอน 'พล.อ.สนธิ' อย่ารอจนตาย ค่อยเผยเหตุผลที่แท้จริงของการปฏิวัติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 55 โอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Oak Panthongtae Shinawatra เมื่อเวลา 20.11 น. วันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมา ระบุ คดีทุจริต ซีทีเอ็กซ์ 1 ใน 4 เหตุผลหลักในการปฏิวัติ ของ คมช. ถูกยกคำร้อง ซัด คตส. โฆษณาใหญ่ ยันหลักฐานชัดเจน จะสามารถจับนักการเมืองเข้าคุกได้เป็นคดีแรก เย้ย แค่ "ปาหี่ขายยา" ถาม บอร์ด บทม. 6 คน ไปนอก เอกชนออกค่าเครื่องบิน, โรงแรม, กรีนฟี ตีกอล์ฟให้ ผิดจนถึงขั้นต้องปฏิวัติ !? วอน 'พล.อ.สนธิ' อย่ารอจนตาย ค่อยเผยเหตุผลที่แท้จริงของการปฏิวัติ โดยมีข้อความดังนี้

"ทักษิณ-สุริยะ พ้นบ่วงคดีทุจริต ซีทีเอ็กซ์ ป.ป.ช. ยกคำร้อง พยานหลักฐานไม่มีน้ำหนักเพียงพอ แต่ตั้งปมใหม่ บอร์ด บทม. รับสินบนค่าเครื่องบิน ที่พัก และค่าเล่นกอล์ฟ ช่วงพาครอบครัวไปดูงานที่สหรัฐฯ"
พาดหัวข่าวแบบนี้ ผมควรจะดีใจ ที่พ่อ "พ้นบ่วงกรรม" หรือควรจะร้องไห้ ให้กับประเทศไทยดีครับ
สรุปว่า เรื่อง "ซีทีเอ็กซ์" ที่เป็นตัวเอกทางด้าน "มีการทุจริตอย่างชัดเจน" ซึ่งเป็น 1 ใน 4 ของเหตุผลหลัก ในการปฏิวัติ ของ คมช. ซึ่ง คตส. ออกมาโหมโรงโฆษณากันยกใหญ่ว่ามีหลักฐานชัดเจนที่สุด เป็นคดีที่จะสามารถจับนักการเมืองเข้าคุกได้เป็นคดีแรก ตกลงเป็นแค่ "ปาหี่ขายยา" ไอ้ที่ว่าทุจริตชัดเจน มีแค่บอร์ดฯ ไปดูงานเมืองนอก แล้วผิดจนถึงขั้นต้องปฏิวัติ เพียงเพราะว่า บริษัทเอกชนเขาออกค่าเครื่องบิน, โรงแรม, กรีนฟี ตีกอล์ฟ ให้บอร์ดฯ 6 คน ... แค่เนี้ยยย ... นะ !!!
ถ้าอย่างนั้นผมขอทบทวน เหตุผลหลักทั้ง 4 ข้อ ในการปฏิวัติ จนประเทศถอยหลังไปเป็น 10 ปี จากจ่อคิวเป็นผู้นำของกลุ่มประเทศ Asean ในสมัยรัฐบาลทักษิณ กลายเป็นผู้ท้าชิงตำแหน่ง "บ๊วยออฟอาเซี่ยน" ภายหลังจากการปฏิวัติ พร้อมทั้งขอชี้ให้เห็นถึงข้อเท็จจริงในปัจจุบัน ดังนี้ครับ
1. "มีการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน"
ถ้าเรายังจำได้ คดี CTX เป็นคดีที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับ คตส. โดยออกมายืนยันว่า เอาผิดได้อย่างชัดเจน และจะเป็นคดีแรกที่จับนักการเมืองเข้าคุก สรุปออกมาบอร์ด 6 คน ทำผิดตอนไปดูงาน ... แค่เนี้ยย !! ... เท่านั้น !!
2. สร้างความแตกแยกให้กับคนในชาติ
ซึ่งหลักๆ ก็มาจากทั้ง 2-3 ฝ่าย ที่ขัดแย้งกัน เริ่มจาก เสื้อเหลือง มาเสื้อแดง, เสื้อน้ำเงิน โดยมีพรรค "อีแอบ" คอยส้มหล่นจากการปฏิวัติอยู่ข้างหลัง โดยปัจจุบันอดีต ปธ. คมช. ออกมายอมรับว่า การปฏิวัติไม่ช่วยอะไรเลย จึงคิดที่จะแก้ไขด้วยการดำเนินกรรมวิธีในการปรองดอง
3. "แทรกแซงองค์กรอิสระ"
วิธีแก้ไขข้อนี้ ภายหลังการปฏิวัติก็คือ จัดระบบในองค์กรอิสระเสียใหม่ ภายใต้สมมติฐาน "คนที่เป็นกลางอาจจะโดนแทรกแซงได้ง่าย" เลยใช้คนที่ "เกลียดทักษิณ" มาเป็นองค์กรอิสระมันซะเลย ผมอยากเปรียบเทียบความคิดนี้คือการ "ฆ่าเชื้อหวัดด้วยเชื้อมะเร็ง" ผลออกมาคือ ประเทศไทยหายอาการหวัดแทรกซ้อน แต่เป็นมะเร็งเรื้อรังจนถึงปัจจุบัน แบบที่คุณพ่อผมเรียกว่ามันเป็นผลของต้นไม้ที่มีพิษ (ผลพวงเผด็จการ) นั่นแหละครับ (ใครมีหนังสือ "คนอื่นเรียกนายก แต่เราเรียกพ่อ" ลองกลับไปอ่านดูจะรู้ว่า ไอ้ที่เห็นในทีวี ว่าลงมาต้อนรับ "หลานๆ ทั้ง 3" ที่มาให้ปากคำอย่างอบอุ่นนั้น พอปิดประตูห้องลับหลังผู้คนแล้ว ทำไรกับลูกๆ ของคนที่ตนเองเกลียดไว้มั่ง)
4. "ความพยายามโค่นล้มสถาบันหลักของชาติ"
หลักฐานสำคัญคือ "ผังล้มเจ้า" ที่แย่งกันเอามาแถลงข่าวเป็นการใหญ่ ชื่อคนโน้นคนนี้เต็มไปหมดเพียงเพื่อที่โยงว่า "ทักษิณ ไม่จงรักภักดี" จนคนเข้าใจผิดกันทั้งเมือง แต่พอสืบเข้าจริงๆ โยนกันไปกันมาระหว่าง คมช. กับ ฝ่ายการเมือง ไม่มีใครยอมรับว่าเป็นคนทำ ถ้างั้นผมสรุปง่ายๆ ผังล้มเจ้านี้ก็คือ อาวุธที่ใช้เพื่อทำลายล้างทางการเมือง เท่านั้น
อย่างนี้เอง มล.เต่านา โสณกุล ถึงกล่าวว่า "รักที่สุดคือ ในหลวง ห่วงที่สุดคือ คนที่รักในหลวง จนเสียสติ"
ถ้า 4 ข้อนี้ เป็นเพียงข้ออ้าง ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงของการปฏิวัติ บางทีคำตอบจากหนังสือ ปฏิวัติ 19 ก.ย. 49 เล่มที่ พล.อ.สนธิ เขียนไว้และพูดไว้ว่าจะแจกหลังตัวตาย น่าจะเป็นคำตอบที่แท้จริง โห...กว่าจะรู้ทำไมต้องให้คน 60 กว่าล้านคนรอนานจัง
ถ้าให้ผมมองเป็น Personal ผมมองว่า จะครบ 7 ปีของการปฏิวัติ จะครบ 7 ปี ที่พ่อผมโดนผลไม้มีพิษเล่นงาน จนไม่สามารถกลับประเทศได้ ทรัพย์สินก็ถูกยึดไปแล้วหลายหมื่นล้าน จนบัดนี้ยังไม่รู้เหตุผลที่แท้จริง ต้องรอให้ผู้ดำเนินการปฏิวัติตายก่อน จึงจะเปิดเผยได้ ผมว่ามันก็รุนแรงเกินเหตุอยู่แล้ว จบๆ ได้แล้วครับ
แต่ถ้าให้ผมมองเชิงโครงสร้างทั้งระบบ ตามที่มีผู้วิเคราะห์ว่า การปฏิวัติแต่ละครั้งในยุคปัจจุบัน จะสร้างความสูญเสียให้กับประเทศชาติ นับล้านล้านบาทแล้ว ผมว่าผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมืองนี้ ใช้อารมณ์มากกว่าเหตุผล ซึ่งผลลัพธ์ออกมา "ได้ไม่คุ้มเสีย" ครับ