กรณีปลัดกระทรวงกลาโหม ทำหนังสือ 2 ฉบับส่งถึง นายกรัฐมนตรี และประธานองคมนตรี กล่าวโทษรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในเรื่องการแต่งตั้งและโยกย้ายนายทหารชั้นนายพลเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดในทางยุทธศาสตร์นั่นเป็นการสรุปตามภาษาทางการทหาร แต่หากสรุปตามสำนวนของนักเล่นหมากรุก ไม่ว่าหมากรุกไทย ไม่ว่าหมากรุกฝรั่ง ก็ต้องว่าเดินพลาดตาเดียว แพ้ทั้งกระดาน จึงไม่แปลกที่คล้อยหลังการส่งหนังสือเพียง 2 วัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็พลิกจากตั้งรับมาเป็นฝ่ายรุก รุกฆาต นั่นก็คือ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 5 มาตรา 9 และมาตรา 24 พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 ย้ายปลัดกระทรวงกลาโหมไปช่วยราชการ ณ สำนักงานรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม และ พลันที่ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตรา ถือธูปเทียนดอกไม้เข้าขอขมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และยอมรับคำสั่งที่ 383/55 ทุกอย่างก็จบ เอวัง ปลัดกระทรวงกลาโหม กระทำความผิดอย่างแน่นอน เป็นความผิดที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสามารถใช้ พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการ กระทรวงกลาโหม พ.ศ. 2551 จัดการได้ จัดการได้อย่างชอบธรรม
รูปธรรมแห่งความผิดก็ดำเนินไปอย่างที่ พล.อ.พิณภาษณ์ สริวัฒน์ เจ้ากรมเสมียนตราออกมายอมรับ
1 ผิดที่มีส่วนร่วมทำหนังสือกล่าวโทษรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
1 ผิดที่มีส่วนร่วม "รวมถึงหนังสือนำเรียนนายกรัฐมนตรีและนำเรียนประธานองคมนตรีซึ่งไม่ถูกขั้นตอน" ทุกอย่างเป็นดังที่ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต แถลง
"การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการเป็นเรื่องภายใน ในเมื่อขั้นตอนยังไม่สิ้นสุดไม่ควรนำเรื่องออกไปเผยแพร่ข้างนอก หรือทำเรื่องร้องเรียนไป เพราะสุดท้ายนายกรัฐมนตรีก็ต้องรู้อยู่แล้ว ดังนั้น ควรให้เรื่องจบในกระบวนการของกระทรวงก่อน"
ตรงนี้เองที่นำไปสู่การระบุกล่าวโทษว่าผิดวินัยขั้นร้ายแรง รู้ทั้งรู้ว่าปฏิบัติการทั้งหมดเป็นเรื่องผิดระบบ ข้ามขั้นตอน เหตุใดปลัดกระทรวงกลาโหมจึงได้ลงมือกระทำอันสะท้อนให้เห็นในกาลต่อมาว่าเป็น ความผิดพลาดในขั้นยุทธศาสตร์ พังทั้งกระดาน ต้องยอมรับว่าดุล กำลังทางการเมือง การทหาร มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในห้วง 1 ปีภายหลังการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนกรกฎาคม 2554 ที่เคยเป็นฝ่ายรุกก็อยู่ในลักษณะตั้งรับ และทำท่าว่าบางส่วนต้องถอย
รูปธรรมง่ายๆ และเด่นชัดอย่างยิ่งก็คือ ความพ่ายแพ้ของพรรคประชาธิปัตย์ การแปรเปลี่ยนจากสถานะแห่งรัฐบาลกลายเป็นฝ่ายค้าน คำถามอยู่ที่ว่าพรรคประชาธิปัตย์รู้ตัวหรือไม่ และปรับเปลี่ยนได้หรือไม่ รูปธรรม ง่ายๆ และเด่นชัดมากยิ่งขึ้นเป็นลำดับก็คือ สถานะที่เคยกล่าวหาคนอื่นและอยู่ในจุดที่สามารถเรียกคนอื่นมาให้ปากคำ กลับกลายเป็นตนเองต่างหากที่ถูกกล่าวหาและตกอยู่ในฐานะถูกหมายเรียกไปให้ปาก คำ น่าเศร้าที่กระทั่ง ณ วันนี้ พรรคประชาธิปัตย์และพันธมิตรยังไม่รู้สึกตัว ยังไม่ตระหนักในสถานะเป็นฝ่ายรับ รูปธรรม ง่ายๆ และเด่นชัดมากยิ่งกว่านั้นสัมผัสได้จากคำวินิจฉัยล่าสุดของตุลาการศาลรัฐ ธรรมนูญในประเด็นอันเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และรวมถึงคำวินิจฉัยอันเกี่ยวกับกรณีซีทีเอ็กซ์ของ ป.ป.ช. นี่คือสภาพแปรเปลี่ยนอันสะท้อนการจัดระเบียบใหม่ของดุลกำลังทางการเมือง การทหาร ยุทธศาสตร์ใหม่ การเมืองใหม่ เมื่อกำหนดยุทธศาสตร์คลาดเคลื่อน จึงแทนที่จะกำชัยชนะกลับต้องประสบกับความเพลี่ยงพล้ำ แทน ที่จะอยู่ในสถานะรุกกลับกลายเป็นตั้งรับ แทนที่จะตีฝ่าแนวรบไปสู่ชัยชนะอันรุ่งโรจน์งดงาม กลับต้องประสบกับความพ่ายแพ้อย่างน่าอัปยศถูกรุกฆาต ล้มกระดาน