แล้วเทศกาลกีฬาโอลิมปิก ลอนดอนเกมส์ 2012 ก็ผ่านพ้นไปพร้อมกับกระแสความสนใจจากผลการแข่งขันตลอดจนการกลับมาของบรรดาฮีโร่เหรียญโอลิมปิก เริ่มจางฝุ่นลง สีสันจากข่าวสารด้านคนการเมืองก็พยายามเปล่งประกายแทรกตัวเองออกมาอย่างชัดเจน
นอกจากเวทีย่อย การอภิปรายงบประมาณประจำปี 2556 วาระ 2-3 จะเปิดฉากเรียกน้ำย่อยกันตั้งแต่วันที่ 15-17 สิงหาคม 2555 แล้ว เชื่อแน่ว่า ควันหลง ลูกติดพันจะรับส่งกันยาวไปถึงมหกรรมการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โน่นเลย
ไม่แปลกที่ในระยะนี้จะได้เห็น ส.ส. ระดับโฆษก รองโฆษก ของทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ มีงานชุกล้นมือมากเป็นพิเศษ เช่นเดียวกับบรรดารัฐมนตรีคนดังในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่ด้านหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการเตรียมข้อมูล ตั้งการ์ดรอรับมรสุมจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจจะพาดพิงมาถึงผลงานของตัวเองในกระทรวงนั้นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีผลงาน "ล่อเป้า" สารพัดเรื่อง
ไล่ตั้งแต่การควบคุมราคาสินค้า ไปจนถึงอภิมหาโครงการ "จำนำข้าว" ที่สร้างปรากฏการณ์ให้ประเทศไทยหลุดโผจากการเป็นประเทศแถวหน้าในการส่งออกข้าวได้สำเร็จอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
อีกด้านหนึ่ง รัฐมนตรีและทีมงานของ "นายกฯ ยิ่งลักษณ์" ก็กำลังคร่ำเคร่งกับการเตรียมแถลงผลงานในโอกาสครบรอบ 1 ปี
แต่ทั้งหมดนั้นก็ยังไม่แหลมคมและมีสีสันมากเท่ากับการเปิดยุทธการ "ข่าวเสี้ยม" จากทั้งฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย โจมตีอีกฝ่ายหนึ่งอย่างเมามัน
"เปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค" คือ ข่าวปล่อย หรือกระแส "เสี้ยม" เปิดประเด็นแสบร้อนจากพรรคเพื่อไทย ยิงตรงไปที่พรรคประชาธิปัตย์ชนิดแสกหน้า ภายใต้สมมุติฐานที่มีการวิเคราะห์บทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงที่ผ่านมาว่า ทำหน้าที่ฝ่ายค้านได้ไม่เข้มข้น โดดเด่นเหมือนในอดีต
แถมหัวหน้าพรรค นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ยังมีชนักติดหลังเป็นจุดเปราะในคดี 98 ศพคาอยู่ จนขยับบทบาททางการเมืองได้ไม่เต็มที่ ยิ่งมาเจอกับ "โอ๊ค ศิษย์แม้ว" คลุกวงในแฉแหลกเรื่องเกณฑ์ทหาร ก็ยิ่งเสริมให้ทฤษฎีสมคบคิดในประเด็น "เปลี่ยนตัวหัวขบวน" ดูมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
ร้อนถึง นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ต้องออกมาตั้งโต๊ะแถลงโต้ว่า เป็นการปล่อยข่าวโคมลอย พร้อมกับยืนยันว่า พรรคประชาธิปัตย์ยังมีความเป็นเอกภาพ ไม่มีความแตกแยกเกิดขึ้น อยากให้พรรคเพื่อไทยกลับไปดูภายในพรรคตัวเอง กลับไปกวาดบ้านตัวเองเสียก่อนจะดีกว่า
"แม้ว่าจะมีขบวนการเสี้ยมจากพรรคเพื่อไทยมา ก็ไม่สามารถสร้างความแตกแยกให้เกิดขึ้นภายในพรรคประชาธิปัตย์ได้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์มีภูมิคุ้มกันทางการเมืองภายในอย่างแข็งแรง มีแบบแผนและกติกาชัดเจน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคมาได้ แค่ 1 ปี ก็ยังคงดำรงตำแหน่งอีก 3 ปี จนครบวาระ จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรคในขณะนี้ เพราะจะถือว่าเป็นการเปลี่ยนม้ากลางศึก ยืนยันว่านายอภิสิทธิ์ ยังเป็นผู้นำพรรคที่เข้มแข็ง เป็นที่ยอมรับของประชาชน และเป็นนักการเมืองที่มีความเพียบพร้อมในทุกๆ ด้าน จึงอยากให้พรรคเพื่อไทยหาคนที่เป็นผู้นำพรรคขึ้นมาเทียบเคียงกับนายอภิสิทธิ์ให้ได้เสียก่อน" นายเทพไท กล่าว
กระบอกเสียงพรรคประชาธิปัตย์ย้ำว่า แม้จะมีความพยายามชงชื่อ "คลื่นลูกใหม่" ในพรรค อาทิ นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน ขึ้นมาเป็นผู้นำพรรคนั้นอยากชี้แจงว่า บุคคลทั้ง 2 เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของพรรคที่พร้อมจะนำพรรคได้ในอนาคต แต่ไม่ใช่ห่วงเวลาในขณะนี้ เพราะขณะนี้นายอภิสิทธิ์ ยังเป็นที่ยอมรับของสมาชิกพรรคทุกคน
หลังจากนายเทพไทเคลียร์ประเด็นดังกล่าวได้ไม่นาน "ดาบ 2" จากพรรคเพื่อไทยก็หวดซ้ำลงมาที่จุดเดิมโดยฝีมือและฝีปากของ นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ซึ่งให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ว่า ตนได้รับทราบข้อมูลเชิงลึกว่า คนเก่าแก่ของพรรคประชาธิปัตย์เริ่มมีความรู้สึกไม่ดีกับสถานภาพของพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
"ตอนนี้เกิดความเอือมระอาแก๊งไอติม คนรุ่นใหม่ทำให้พรรคตกต่ำ เป็นรัฐบาล 2 ปี 8 เดือน ไม่สามารถสร้างผลงาน เลือกตั้งก็แพ้หมดสภาพ มาเป็นฝ่ายค้านก็ขาดคุณภาพอีก ภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่เคยเป็นฝ่ายค้านเข้มแข็ง ยึดมั่นอุดมการณ์ประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ วันนี้ไม่หลงเหลือ จึงมีการคุยกันภายในถึงแนวทางการเปลี่ยนตัวผู้นำ"
ก่อนจะทิ้งปมแบบมีลีลาว่า จะอย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวคงต้องไปสอบถามข้อเท็จจริงจาก นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ และ นายบัญญัติ บรรทัดฐาน กรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นความจริงหรือไม่
แม้จะไม่เกิดอาการกระเพื่อมใดๆ ในพรรคประชาธิปัตย์ แต่คอการเมืองก็ได้สนุกสนานกับการติดตามประเด็น "ข่าวปล่อย" และพร้อมจะเก็บไปขยายผลต่อได้ทุกเมื่อเหมือนกัน
"แม้วหักดิบปูปรับ ครม." นั่นคือหมัดสวนแบบอัพเปอร์คัตเข้าปลายคางพรรคเพื่อไทย ก็ยืนยันความเก๋าของพรรคประชาธิปัตย์ในการโต้ตอบทางการเมืองได้เป็นอย่างดี
ทั้งยังเป็นการทิ้งหมัดเข้าจุดโฟกัสที่ถูกจับตามาตลอดก่อนหน้านี้
นั่นทำให้หลายฝ่ายในพรรคเพื่อไทย ไม่ว่าจะเป็น นายพร้อมพงศ์, นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รวมถึง นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต้องตบเท้าเรียงหน้ากันออกมาหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวกันอุตลุด
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุถึงกรณีที่ นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.ประชาธิปัตย์ จ.นครศรีธรรมราช มองว่าการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในช่วงนี้ที่เงียบลงน่าจะเกิดจากความขัดแย้งระหว่าง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ถือเป็นการวิจารณ์แบบไร้ข้อมูลและไร้มารยาท พร้อมยืนยันการปรับ ครม. อยู่ที่นายกรัฐมนตรี และไม่มีความขัดแย้งใดๆ เกิดขึ้นระหว่างนายกรัฐมนตรีกับอดีตนายกรัฐมนตรี แต่การปรับ ครม. นั้น จะดูเวลาที่เหมาะสม หรือหลังการแถลงผลงานรัฐบาลครบรอบ 1 ปี และการอภิปรายไม่ไว้วางใจก่อน
ขณะที่ นายนพดล ปัทมะ ก็รีบออกมายืนยันว่า กระแสข่าวจากพรรคประชาธิปัตย์เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ขัดแย้งกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถึงการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า เป็นเรื่องไร้สาระ
"พ.ต.ท.ทักษิณ แม้เป็นพี่ชาย แต่ท่านให้เกียรติและเคารพการตัดสินใจของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ เพราะวันนี้ท่านเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย การสร้างข่าวของพรรคประชาธิปัตย์เป็นการสร้างความสับสน และเป็นเพียงการตอบโต้ทางการเมืองและเบี่ยงเบนประเด็นข่าวเรื่องปัญหาความสามารถและการสนับสนุนหัวหน้าพรรคตนเองเท่านั้น"
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นไม่นานนัก นายนพดลก็ตอบคำถามผู้สื่อข่าวโดยไม่ปฏิเสธถึงความเป็นไปได้ในการปรับ ครม. เพื่อเปิดโอกาสให้บุคลากรของพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเลขที่ 111 ได้เข้ามาทำงานขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
"ข่าวปล่อย" หรือ "ข่าวเสี้ยม" จากพรรคประชาธิปัตย์ที่ดูจะไร้กระบวนท่า ไม่น่าจะมีพิษสงอะไรก็กลับทำให้แกนนำในพรรคเพื่อไทยกระอักกระอ่วนได้เหมือนกัน
เพราะเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธถึงแนวคิดที่ยังไม่ตรงกันเสียทีเดียวระหว่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และ "คีย์แมน" อีกกลุ่มหนึ่งในพรรคที่อยากเห็นการปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อผลิตผลงาน หากท่าทีจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยืนยันมาตลอดว่าอยากได้เวลาในการทำงานอย่างต่อเนื่องให้เต็มที่กับ ครม. ชุดปัจจุบันให้มากกว่านี้
ถึงที่สุดแล้ว สถานการณ์ของทั้ง 2 ฝั่งคงไม่ก้าวไกลไปถึงระดับ เปลี่ยนหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ หรือ พี่น้อง แม้ว-ปู แตกหักกันในประเด็นการปรับ ครม.
แต่สีสันที่ทั้ง 2 ฝ่ายใช้ประเด็นข้างเคียงดึงขึ้นมาโต้ตอบ บ่อนเซาะความมั่นใจของอีกฝ่ายหนึ่งจะยังคงดำเนินไปอย่างเข้มข้นแน่นอน และหากพลาดพลั้ง การ์ดตก หรือหลงเหลี่ยม "ข่าวเสี้ยม" หรือ ข่าวขำๆ ในลักษณะนี้อาจแสดงผลข้างเคียง ทำให้ทั้งพรรคเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ปวดหัว เสียเวลาในการพูดคุย เคลียร์ภาพต่อสาธารณะไม่น้อยได้เหมือนกัน