โลกวันนี้ 15 สิงหาคม 2555 >>>
กลายเป็นเรื่องฮือฮา ทอล์คออฟเดอะทาวน์ของสังคมไทย และสังคมแอลเอ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อความขัดแย้งระหว่างคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงโกอินเตอร์ไปฟัดกันให้ฝรั่งตาน้ำข้าวได้ดูของจริงเป็นบุญตา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้แค่ติดตามข่าวสารการห้ำหั่นกันของคน 2 สีเสื้อในไทยผ่านสื่อ
ภาพความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแม้จะไม่รุนแรงเท่าต้นฉบับในเมืองไทย แต่ก็ทำให้ภาพพจน์ของคนไทย ประเทศไทย ตกต่ำในสายตาคนอเมริกัน
การชุมนุมปิดกั้นตามป่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวเท้าเหยียบแผ่นดินสหรัฐของคนเสื้อเหลืองที่ยึดต้นแบบไปจากเมืองไทย ได้แสดงให้เห็นถึงความไร้วัฒนธรรม ความไม่เข้าใจคำว่า “สิทธิ เสรีภาพ” ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนในสังคมประชาธิปไตย
ปิดกั้น ตามโห่ฮา ตะโกนไล่ ขว้างปาสิ่งของใส่ ในสังคมไทยอาจทำได้ และที่ผ่านมาก็ทำได้มากกว่านั้น เพราะเส้นใหญ่ ไม่ผิด แต่ในสังคมคนอเมริกันยอมรับสิ่งนี้ไม่ได้
ตำรวจท้องถิ่นแอลเอหรือ LAPD จึงเข้าควบคุมแนวร่วมพันธมิตรฯ จับใส่กุญแจมือไปสงบสติอารมณ์และดำเนินคดีฐาน “ขัดขวางสิทธิเสรีภาพของบุคคลอื่น” ข้อหานี้หากเอามาใช้ในเมืองไทยคนคงล้นคุก คงไม่มีที่ว่างให้ได้นั่งได้นอน
กระแสข่าวลึกๆระบุว่า การสร้างความปั่นป่วนครั้งนี้มีเป้าหมายต้องการให้สหรัฐถอนวีซ่าเข้าประเทศที่ออกให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการให้สหรัฐมองว่าคนผู้นี้เป็นบุคคลไม่พึงประสงค์ เป็นบุคคลอันตรายที่จะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย ไม่ควรให้เข้าประเทศ
สหรัฐเป็นพี่เบิ้มของโลก เป็นประเทศต้นแบบประชาธิปไตย เป็นดินแดนแห่งความเสรี หากยอมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าประเทศได้อย่างอิสระ อดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกฝ่ายตรงข้ามตราหน้าว่าเป็นนักโทษหนีคดีจะมีความชอบธรรมมากขึ้นในสถานะของตัวเอง
จะมีอิสระมากขึ้น และจะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นในสังคมโลก โซ่ตรวนที่ฝ่ายตรงข้ามไปผูกพันธนาการไว้ด้วยคดีความต่างๆจะไร้ความหมาย กระบวนการยุติธรรมในไทยจะถูกมองอย่างตั้งข้อสงสัย ตั้งคำถาม จนสูญเสียความน่าเชื่อถือ
นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊ค Oak Panthongtae Shinawatra ว่าปัญหาการเมืองแบ่งสีแบ่งฝ่ายลามไปถึงคนไทยในต่างประเทศ ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้ถ้าไม่มีการปรองดองอย่างแท้จริง ประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปไม่ได้
ปัจจุบันแค่เริ่มต้นการปรองดองก็เหนื่อยแล้ว ถ้ายังปล่อยให้คน 2 ฝ่ายที่มีผู้สนับสนุนจำนวนมากทั้งคู่เห็นแย้งกันอยู่ โดยฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเป็นการ “ขอคืนความเป็นธรรม” อีกฝ่ายเห็นว่าเป็นการ “ล้างผิดคนโกง” ก็คงจะปรองดองกันไม่ได้ จำต้องมีใครที่เป็นกลางจริงๆมาล้างไพ่แล้วแจกให้เล่นกันใหม่ ไม่ต้องเข้าข้างกัน ไม่เอาบรรดาคนที่เกลียดกันมาเป็นกรรมการสอบสวน ทำกระบวนการทุกอย่างให้มีความยุติธรรมอย่างแท้จริงแล้ว ผมว่าเรื่องจบครับ
ความเห็นนี้สอดคล้องกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำสำคัญของคนเสื้อแดง ที่เห็นว่าต้องเร่งเดินหน้าสู่ความปรองดอง การเคลื่อนไหวต้องอยู่ในกรอบกฎหมาย นึกถึงหน้าตาของประเทศ และยังกังวลใจต่อท่าทีของนายกษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กับใครอีกหลายคนที่ออกมาต่อต้านประณามสหรัฐอย่างรุนแรงจนอาจทำให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศขึ้นมาได้
แต่ทั้ง 2 ความเห็นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.ประชาธิปัตย์ ที่สนับสนุนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อเหลืองในสหรัฐ โดยมองว่าเป็นการส่งสัญญาณให้สหรัฐรับรู้ว่าเป็นนักโทษหนีคดีที่กระบวนการยุติธรรมไทยต้องการตัว และมองว่าการเคลื่อนไหวจนถูกจับกุมไม่มีผลกระทบอะไรต่อภาพพจน์ของประเทศชาติ
ยังไม่นับรวมปฏิกิริยาของพันธมิตรฯในประเทศไทยที่เห็นดีเห็นงามและสรรเสริญเยินยอกับการกระทำของพันธมิตรฯในสหรัฐ
เมื่อมองจากสิ่งที่เกิดขึ้น การสร้างความปรองดองแค่คิดก็เหนื่อยมากแล้วจริงๆ ความเป็นไปได้ของการสร้างความปรองดองจึงเท่ากับ “0” ตรงข้ามกับความเป็นไปได้ของการขยายความขัดแย้งที่มีโอกาสเกิดขึ้นได้มากกว่า
แต่ในความมืดมิดย่อมมีแสงสว่าง ประเทศต้นแบบประชาธิปไตยอย่างสหรัฐทำให้ดูเป็นตัวอย่างแล้ว แค่ “ปิดกั้นขัดขวางสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น” ก็มีความผิดถูกจับใส่กุญแจมือได้ ประเทศไทยก็ควรจะเริ่มต้นจากจุดเล็กๆนี้ก่อน แล้วค่อยๆขยับไปสู่สิ่งที่ใหญ่กว่า
ที่ผ่านมาเราปล่อยให้ม็อบทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ ปิดถนน ปิดล้อมสถานที่ราชการ ยึดทำเนียบรัฐบาล ปิดล้อมรัฐสภา จนลุกลามไปยึดสนามบิน แต่ไม่มีใครถูกจับใส่กุญแจมือ ทำให้เกิดความฮึกเหิมได้ใจ ทำอะไรก็ไม่ผิด ไม่ติดคุก จนเกิดวัฒนธรรมเอาอย่าง
ปัญหาความแตกแยกของสังคมไทยอยู่ที่คนบังคับใช้กฎหมาย ตั้งแต่ตำรวจ อัยการ ศาล การจะสร้างความปรองดองจึงต้องกลับมาเข้มงวดจากจุดเล็กเหมือนอย่างสังคมอเมริกัน เพราะถ้า “ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น” มีความผิด ถูกจับใส่กุญแจมือ มีบทลงโทษ ก็คงไม่มีใครกล้าละเมิดเรื่องใหญ่ๆ
เมื่อไม่มีคนละเมิด สังคมก็จะเป็นปรกติสุขมากขึ้น หากยังปล่อยให้อันธพาลครองเมืองอยู่อย่างนี้ “ความปรองดอง” ก็จะเป็นได้แค่ฝันกลางวันที่ต้องฝันกันต่อไปเรื่อยๆ ไม่มีตอนจบที่แฮปปี้เอนดิ้งเหมือนในละคร