หมอนิรันดร์ ร่วม “ปฏิญญาหน้าศาล” ย้ำการมีนักโทษการเมืองคือการละเมิดสิทธิฯ

ปรชาไท 20 สิงหาคม 2555 >>>




ชี้หลักสิทธิมนุษยชนของสังคมไทยกำลังถูกท้าทาย และเปลี่ยนผ่าน เสนอสิทธิในการรับรู้ความจริง-สิทธิในการที่จะเอาคนผิดมาลงโทษ-สิทธิที่จะได้รับการชดเชยและเยียวยา คือสิทธิสำคัญ ต้องสู้ต่อไป

19 ส.ค. 55 เวลา 14.00 น. บริเวณหน้าศาลอาญา รัชดาภิเษก กลุ่มปฏิญญาหน้าศาลซึ่งจัดกิจกรรมหน้าศาลอาญาทุกอาทิตย์ ได้จัดเสวนาในหัวข้อ “นักโทษการเมืองกับสิทธิมนุษยชน” โดยมี นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ มาเป็นวิทยากร
นายแพทย์นิรันดร์กล่าวว่าคำที่ตรงกว่าคำว่านักโทษการเมือง คือนักโทษที่มีความคิดเห็นที่ต่าง การมีความคิดเห็นที่แตกต่างในระบอบประชาธิปไตยถือว่าเป็นเรื่องดี และสะท้อนความเป็นประชาธิปไตย ถ้ากำหนดให้คิดเหมือนกันนั่นคือระบอบเผด็จการ ปัญหาการมีคนคิดเห็นต่างแล้วต้องเข้าไปอยู่ในคุก โดยใช้กระบวนการยุติธรรมเป็นเครื่องมือนั้น ยืนยันว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนทั้งสิ้น
ในอดีต คนที่เห็นต่างทางการเมืองหรือเห็นต่างในเรื่องนโยบายสาธารณะ ก็มักถูกกล่าวโทษด้วยกฎหมายอาญา เช่น ถูกตราหน้าว่าเป็นคอมมิวนิสต์ในสมัยสงครามเย็น หรือนักศึกษาในสมัย 6 ตุลา 2519 ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ กรณี 4 รัฐมนตรีจากภาคอีสานสมัยทศวรรษ 2490 ที่ถูกมองว่าจะแบ่งแยกดินแดน รางวัลที่ได้รับคือถูกฆ่าตาย รวมทั้งพี่น้องภาคใต้ เช่น กรณีหะยีสุหลง ก็มีความเห็นต่างทางนโยบายให้สามจังหวัดภาคใต้มีอิสระในการจัดการนโยบายตนเอง ก็ถูกกล่าวหาว่าแบ่งแยกดินแดน และรางวัลที่ได้รับคือถูกฆ่าตายเช่นเดียวกัน
ดังนั้น ต้องทำความเข้าใจว่าการต่อสู้ในเรื่องความเห็นต่างทางการเมืองมีมาตลอด และใน 4-5 ปีนี้ก็มีกรณีหลายอย่างที่ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิคนที่มีความเห็นต่าง อันทำให้เกิดนักโทษการเมือง เช่น การใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112, พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, กฎหมายความมั่นคง, กฎหมายการชุมนุมต่างๆ
แม้แต่กรณีชาวบ้านชุมนุมเรียกร้องประเด็นทรัพยากร อย่างกรณีเขื่อนปากมูนหรือเขื่อนราษีไศลที่ถูกจับ ก็คือข้อหาก่อการร้าย ฉะนั้นเวลาที่จะจัดการกับคนที่เห็นต่างหรือขัดต่ออำนาจ มักจะถูกหาเหตุจากในเรื่องกฎหมาย ถ้าเป็นเรื่องทรัพยากรก็จะเอากฎหมายสิ่งแวดล้อมมาใช้ เช่น ชาวบ้านที่อยู่ในป่าก็โดนข้อหาทำให้โลกร้อน หรือที่หนองแซง ซึ่งคัดค้านโรงไฟฟ้า ก็ถูกตำรวจใช้กฎหมายสลายการชุมนุม
ส่วนกรณีมาตรา 112 ปัญหาของกฎหมายนี้คือการบังคับใช้ และคนที่ใช้อำนาจ เช่น ตำรวจ อัยการ และตุลาการ จุดอ่อนสำคัญของกฎหมายคือใครไปแจ้งความก็ได้ ทำให้เกิดปัญหาว่าคนที่กล่าวหานำสถาบันมาใช้ทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม คู่ต่อสู้ทางการเมือง หรือคนที่คิดเห็นต่างทางการเมือง
ประเด็นที่สำคัญของการแก้ปัญหาจากมาตรา 112 คือการสร้างความชัดเจนให้เกิดความสมดุลระหว่างเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นกับการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ สังคมต้องแยกให้ออกว่าตรงไหนคือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น แบบไหนคือการดูหมิ่น หมิ่นประมาท อาฆาตมาดร้าย รวมทั้งความสับสนระหว่างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์กับพื้นที่สาธารณะ ต้องแยกให้ออก ถ้าแยกไม่ออกจะเป็นช่องทำให้คนนำสถาบันมาทำลายล้างกัน และจะทำให้สถาบันเสื่อมเสียเสียเอง นอกจากนั้น 112 ยังถูกใช้พ้องไปกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งใช้ในการปิดเว็บไซต์หลายหมื่นเว็บ มีส่วนที่กระทบต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก
ตั้งแต่ช่วงก่อนหน้านี้ทางคณะกรรมการสิทธิฯ ได้มีการตั้งคณะทำงานศึกษาเรื่องการบังคับใช้มาตรา 112 โดยมีนายจอน อึ้งภากรณ์เป็นหัวหน้าคณะ ซึ่งรายงานการศึกษาปัญหาเรื่องนี้ใกล้แล้วเสร็จ จึงจะได้มีการแถลงถึงข้อสรุปดังกล่าวต่อไป
นายแพทย์นิรันดร์ยังกล่าวถึงการใช้กฎหมายความมั่นคง เช่น พ.ร.บ.ความมั่นคง หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ทั้งในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้และในการชุมนุทางการเมือง ว่าล้วนเป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกจุดและทำให้ยิ่งแก้ไม่ได้ เพราะนำไปสู่การใช้อำนาจละเมิดสิทธิต่างๆ ทำให้มีการใช้แนวทางการทหารมานำการเมือง ทั้งที่ปัญหาต่างๆ ล้วนเป็นปัญหาทางการเมือง ตนมีความเห็นไปถึงนายกฯ ว่าไม่ควรประกาศใช้ไม่ว่ารัฐบาลไหนทั้งสิ้น และต้องเน้นการคุ้มครองสิทธิในการชุมนุมอย่างสงบ การชุมนุมทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับว่ามีการละเมิดสิทธิการชุมนุมและการแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก รวมถึงการฆ่ากันตาย 90 กว่าศพ
ส่วนในหลายกรณีที่ถูกจำคุกไปแล้ว ก็ต้องเน้นที่สิทธิในกระบวนการยุติธรรม เช่น การถูกพิจารณาเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่จนกว่าศาลจะตัดสิน การให้สิทธิการประกันตัว สิทธิการดูแลสุขภาพ กระบวนการพิจารณาที่รวดเร็ว ซึ่งสิทธิเหล่านี้รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ทั้งสิ้น แต่ในความเป็นจริงมันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น
นายแพทย์นิรันดร์ย้ำว่าปัญหาเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นสิ่งที่คนต้องการสิทธิ ต้องเป็นฝ่ายต่อสู้เรียกร้อง ถ้าไม่ต่อสู้ ก็ไม่มีใครอยู่ๆ มามอบให้ ไม่มีรัฐบาลไหนมอบให้ บางเรื่องที่ยากก็อาจต้องใช้เวลานาน และยังต้องทำให้หน่วยงานรัฐยอมรับว่าอำนาจเป็นของประชาชน ไม่ใช่ของคุณ ถ้าหากอ้างกฎหมาย แล้วบอกว่าคุณใหญ่กว่า ก็มีลักษณะของนักเลง
นายแพทย์นิรันดร์เสนอว่าสิทธิ 3 ประการที่สำคัญและต้องต่อสู้เรียกร้องต่อไป คือ หนึ่ง สิทธิในการรับรู้ความจริง เพราะสังคมไทยมักไม่ยอมรับความจริงและความจริงไม่ถูกทำให้ปรากฏ สอง สิทธิในการที่จะเอาคนผิดมาลงโทษ ซึ่งไม่ใช่เรื่องของการอาฆาตแค้น แต่ประเด็นคือไม่ต้องการให้มีการทำผิดซ้ำอีก ส่วนจะให้อภัยกันหรือนิรโทษกรรมนั้นเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที แต่ต้องคุยกันให้ได้ก่อนว่าใครผิด และสาม สิทธิที่จะได้รับการชดเชยและเยียวยา
นายแพทย์นิรันดร์มองว่ากระบวนการต่อสู้ของประชาชนในขณะนี้ ไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องการแบ่งฝ่าย แต่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมและความถูกต้องด้วย และต้องยอมรับว่ากระบวนการยุติธรรมได้ทำลายสิทธิและความเป็นธรรมในสังคม โดยตนก็ไม่รู้เหมือนว่าถ้ากระบวนการยุติธรรมไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้ได้ บ้านเมืองจะเกิดอะไรขึ้น
ในช่วงท้าย ผู้เข้าร่วมกิจกรรมได้สอบถามนายแพทย์นิรันดร์ว่าคิดอย่างไรเรื่องการปฏิบัติกับนักโทษที่อยู่ระหว่างการต่อสู้คดีเหมือนกับนักโทษในคดีที่สิ้นสุดแล้ว นายแพทย์นิรันดร์กล่าวว่าเป็นเรื่องที่มีมาตลอด คุกถูกทำให้เป็นที่ขังคนจน ตัวอย่างในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้ ปัญหาเรื่องการประกันตัว การมีทนายดูแล จะหนักกว่านี้อีก หลายคนไม่กล้ามาร้องเรียน รวมทั้งยังมีการซ้อมทรมานต่างๆ ซึ่งเราคงจะหวังให้คนภายในแก้ไม่ได้ แต่ประชาชนคงต้องเป็นฝ่ายต่อสู้เรียกร้องเอง
นอกจากนั้นยังมีคำถามจากผู้ฟังอีกว่ารู้สึกอย่างไรที่ต้องทำงานภายใต้การแบ่งขั้วทางการเมือง และทำงานอย่างไรภายใต้แรงกดดัน  นายแพทย์นิรันดร์กล่าวว่าไม่ค่อยลำบากใจ ก่อนเป็นคณะกรรมการสิทธิฯ ตนก็เคยเป็น ส.ว. มาก่อน ก็ถูกหาว่าเป็นเสื้อเหลือง บางทีก็ถูกเสื้อเหลืองหาว่าเข้าข้างเสื้อแดง แต่ยืนยันว่าส่วนตัวทำงานโดยหลักการมาตลอด ไม่ได้ยึดในสีเสื้อหรือตัวบุคคล แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางอย่างก็ทำได้ บางอย่างทำได้ช้า หรือบางอย่างก็ทำไม่ได้ แต่ในภาพรวมเห็นว่าการเมืองภาคประชาชนมันโตขึ้น มีคนใหม่ๆ เกิดขึ้น อย่างกลุ่มปฏิญญาหน้าศาลนี้เป็นต้น และตอนนี้สังคมไทยอยู่ในระยะเปลี่ยนผ่าน สิ่งที่ต้องระวังคือความขัดแย้งและแตกต่างกลายเป็นการฆ่ากันและละเมิดสิทธิต่อกัน  ส่วนการวิจารณ์คณะกรรมการสิทธิฯ ก็เป็นเรื่องที่รับฟังได้
นายแพทย์นิรันดร์ได้กล่าวสรุปในตอนท้ายว่า ประเด็นนักโทษการเมืองเกิดขึ้นจากผลพวงของการละเมิดสิทธิมนุษยชนและระบอบประชาธิปไตย โดยเฉพาะสิทธิมนุษยชนเรื่องเสรีภาพและความเสมอภาค ที่ถูกละเมิดมาก และคนละเมิดก็คือคนที่มีอำนาจทางการเมือง เมื่อมีปรากฏการณ์เกิดขึ้น มีคนต้องการการเปลี่ยนแปลง คนมีอำนาจเห็นว่าคุณต่างก็ต้องโดนจับ แต่หลักสิทธิมนุษยชนของสังคมไทยในช่วงนี้กำลังถูกท้าทาย และกำลังเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของการต่อสู้เรื่องสิทธิมนุษยชนในทุกด้าน ทั้งสิทธิชุมชน สิทธิความเป็นคน ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งกำลังตื่นขึ้นทั่วประเทศ