ศาลอาญากรุงเทพใต้ 16 ส.ค. ศาลไต่สวนการตาย 6 ศพ ในวัดปทุมวนาราม อัยการนำญาติผู้เสียชีวิตขึ้นเบิกความ ยันทหารยิง ศาลนัดไต่สวนพยานครั้งต่อไป 23 ส.ค. นี้
ศาลได้ไต่สวนคำร้องชันสูตรการเสียชีวิตคดีหมายเลขดำที่ ช.5/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 4 ยื่นคำร้องขอให้ศาลไต่สวนชันสูตรการเสียชีวิตของ
นายสุวัน ศรีรักษา อายุ 30 ปี อาชีพเกษตรกร ผู้เสียชีวิตที่ 1
นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี บัณฑิตคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ผู้เสียชีวิตที่ 2
นายมงคล เข็มทอง อายุ 36 ปี เจ้าหน้าที่อาสามูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ผู้เสียชีวิตที่ 3
นายรพ สุขสถิต อายุ 66 ปี อาชีพพนักงานขับรถรับจ้างในสนามบิน ผู้เสียชีวิตที่ 4
น.ส.กมนเกด ฮัคอาด อายุ 25 ปี อาชีพพยาบาลอาสา ผู้เสียชีวิตที่ 5 และ
นายอัครเดช ขันแก้ว อาชีพรับจ้าง ผู้เสียชีวิตที่ 6
ซึ่งทั้ง 6 ศพ ถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนาราม แยกราชประสงค์ ในช่วงที่มีการสลายการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี
วันนี้ (16 ส.ค.) พนักงานอัยการนำ นางอัญชลี สาลิกานนท์ อายุ 36 ปี พี่สาวของ นายอัฐชัย ผู้เสียชีวิตที่ 2 ขึ้นเบิกความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียชีวิตที่ 2 สำเร็จการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 เวลาประมาณ 16.00 น. ได้โทรศัพท์คุยกับผู้เสียชีวิตที่ 2 แจ้งให้ทราบความเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่ม นปช. บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ว่า แกนนำ นปช. ได้ประการยุติการชุมนุม และเข้ามอบตัวแล้ว ผู้เข้าร่วมชุมนุมส่วนใหญ่จึงหลบหนีเข้าไปหลบภัยภายในวัดปทุมฯ รวมทั้งผู้เสียชีวิตที่ 2 ด้วย ต่อมาได้รับแจ้งทางโทรศัพท์จากเพื่อนน้องชายที่ไปร่วมชุมนุมว่า น้องชายถูกยิงเสียชีวิตแล้ว จึงรู้สึกตกใจ แต่ยังตั้งสติคุยโทรศัพท์ โดยพยานถามไปว่า น้องชายถูกยิงที่ไหน เพื่อนผู้ตายบอกว่า ถูกกระสุนเข้าที่หน้าอกซ้าย โดยทหารเป็นผู้ยิงที่เกิดเหตุตรงบริเวณประตูทางเข้าวัดปทุมฯ
นางอัญชลี เบิกความต่อว่า หลังทราบเหตุการณ์ จึงโทรศัพท์แจ้งไปที่สถานีวิทยุแห่งหนึ่งให้ช่วยออกอากาศว่า มีผู้ถูกยิงเสียชีวิตที่วัดปทุมฯ และโทรศัพท์แจ้งไปยังศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ให้ทราบว่ามีการยิงกัน พร้อมประสานไปยัง พ.ต.ท.ธีระวัฒน์ พี่ชาย ให้แจ้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อนำศพน้องชายออกมาจากที่เกิดเหตุ แต่ไม่สามารถทำได้ เนื่องจากขณะนั้นมีการประกาศเคอร์ฟิว วันที่ 20 พฤษภาคม 2553 จึงได้ไปรับศพน้องชาย พร้อมกับ พ.ต.ท.ธีระวัฒน์ โดยแพทย์ระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่า ถูกกระสุนยิง จากนั้น จึงไปแจ้งมรณะและนำศพไปบำเพ็ญกุศลตามพิธีทางศาสนา เป็นเวลา 3 วัน เมื่อเสร็จพิธีแล้ว จึงไปแจ้งความที่ สน.ปทุมวัน
นอกจากคดีนี้แล้ว พยานยังได้ยื่นฟ้องศาลแพ่ง นายอภิสิทธิ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีขณะนั้น และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ต่อหน่วยงานต้นสังกัด ให้ชดใช้ค่าเสียหายอีกด้วย โดยคดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ซึ่งหลังเกิดเหตุพยานได้รับการช่วยเหลือชดเชยจากสำนักพระราชวัง จำนวน 50,000 บาท กทม. 30,000 บาท กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำนวน 400,000 บาท และเงินเยี่ยวยาจากมติคณะรัฐมนตรี (สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี) รวมจำนวนทั้งหมดประมาณ 7,500,000 บาท
จากนั้นพนักงานอัยการนำ นายขาล ศรีรักษา อายุ 65 ปี บิดาของ นายสุวัน ผู้เสียชีวิตที่ 1 ขึ้นเบิกความสรุปว่า นายสุวัน พักอาศัยอยู่กับพยานที่บ้านในต่างจังหวัด ก่อนเกิดเหตุ นายสุวัน มาบอกว่าจะไปทำงานรับจ้างที่จังหวัดทางภาคใต้ระยะหนึ่ง โดยไม่ทราบว่าผู้ตายเข้าไปร่วมชุมนุมในที่เกิดเหตุได้อย่างไร กระทั่งวันที่ 20 พฤษภาคม 2553 มีผู้โทรศัพท์มาแจ้งว่า นายสุวัน บุตรชาย ถูกยิงเสียชีวิตใต้รางรถไฟฟ้า ใกล้วัดปทุมฯ และบอกว่า ถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐ คือ ทหารยิง แต่พยานยังไม่สามารถเดินทางมารับศพได้เนื่องจากมีประกาศเคอร์ฟิว หลังจากนั้นประมาณ 7 วัน จึงเดินทางมารับศพบุตรชาย พบว่าถูกยิงกระสุนเข้าที่ศีรษะและลำตัวหลายแห่ง จึงเข้าแจ้งความที่ สน.ปทุมวัน และ สน.บางรัก ให้ดำเนินคดี สำหรับค่าชดเชยพยานได้รับความช่วยเหลือจากสำนักพระราชวัง หน่วยงานต่าง ๆ และรัฐบาล รวมเป็นเงินประมาณ 7.5 ล้านบาท
ต่อมา นายถวิล ใสลำเผาะ อายุ 63 ปี ลุงของ นายอัครเดช เข้าเบิกความว่า ผู้ตายประกอบอาชีพรับจ้าง โดยบิดามารดาเสียชีวิตหมดแล้ว เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ได้รับโทรศัพท์แจ้งว่า นายอัครเดช ที่ไปเป็นเจ้าหน้าที่อาสาในการแจกจ่ายยาถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมฯ ต่อมาจึงไปดูศพพบว่ากระสุนเข้าที่ปากทะลุท้ายทอย จึงนำศพไปบำเพ็ญกุศลและแจ้งความที่ สน.ปทุมวัน หลังเกิดเหตุพยานยังไม่ได้รับเงินชดเชยหรือเยียวยาจากหน่วยงานต่าง ๆ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร
ภายหลังศาลไต่สวนพยานเสร็จสิ้นแล้ว ศาลนัดไต่สวนพยานครั้งต่อไปวันที่ 23 สิงหาคม 2555 เวลา 09.00 น.