'มาร์ค' พร้อมให้ปากคำดีเอสไอ ตามนัด 27 ส.ค.

ไทยรัฐ 21 สิงหาคม 2555 >>>




“อภิสิทธิ์” พร้อมให้ปากคำดีเอสไอ เหตุความไม่สงบปี 2553 ตามนัด 27 ส.ค. ซัดดีเอสไอแกล้งคนบริจาคน้ำท่วม โยงการเมือง ลั่นข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ปั้นพยานเท็จฟ้องแน่ จี้ดีเอสไอเร่งทำคดีคนชุดดำ พ่วงเลื่อนให้การศาล...

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 20 ส.ค. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในขณะนี้มีคดีที่เรียกให้ตนไปให้ปากคำสองคดี คือ คดีที่ดีเอสไอเชิญไปวันที่ 27 ส.ค. 2555 เพื่อให้ถ้อยคำเกี่ยวกับเหตุการณ์ความไม่สงบช่วงปี 2553 เกี่ยวกับการก่อการร้าย การทำร้ายเจ้าหน้าที่ ประชาชน ซึ่งอยู่ในกลุ่มคดีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับผิดชอบอยู่ จึงต้องการสอบถามตนเกี่ยวกับการออกคำสั่งในช่วงเกิดเหตุการณ์ โดยข้อเท็จจริงดีเอสไอก็น่าจะเห็นภาพความเกี่ยวโยงต่างๆ อยู่แล้ว ซึ่งในช่วงเหตุการณ์ตนมีคำสั่งแต่งตั้ง ศอฉ. เพื่อดูแลความสงบเรียบร้อย และนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ก็เป็นส่วนหนึ่งของ ศอฉ. จึงน่าจะทราบดีถึงการทำงานของ ศอฉ. เพราะเป็นกรรมการ ศอฉ. อยู่ด้วย ส่วนที่อ้างว่าเข้าไปเกี่ยวข้องเฉพาะในส่วนข้าราชการพลเรือน ไม่ได้เกี่ยวโยงกับสายบังคับบัญชานั้น นายธาริตก็น่าจะทราบดีว่าการประชุม ศอฉ. มีโครงสร้างตามกฎหมายรองรับ ส่วนขั้นตอนการปฏิบัติเป็นเรื่องของหน่วยงานที่จะรับไป หลังจากที่ ศอฉ. ประชุม
ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดอย่างไรที่ดีเอสไอมารุกคืบในช่วงเวลานี้ที่ฝ่ายค้านจะอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าคดีต่างๆ ต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จอย่างเที่ยงตรง ถูกต้อง เพราะก่อนหน้านี้ ทางดีเอสไอเคยส่งหลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ไปที่อัยการ และส่งฟ้องไปแล้ว ทั้งคดีก่อการร้ายและคดีอื่นๆ จึงต้องมีความสม่ำเสมอและตรงไปตรงมา ในการทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏ แต่ที่ตนแปลกใจคือ มีการเรียกคนที่เคยบริจาคเงินน้ำท่วมผ่านพรรคให้รัฐบาล 100 บาท หรือต่ำกว่านั้น ถูกเรียกไปให้ปากคำ และดีเอสไอรับเรื่องไว้ดำเนินคดี ทั้งที่ กกต.ที่มีหน้าที่โดยตรงก็สอบสวนเรื่องนี้อยู่แล้ว ซึ่งคงต้องดูข้อสรุปว่าดีเอสไอให้ความเป็นธรรมกับผู้ที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ แต่ตนเห็นว่ากรณีนี้ไม่เหมาะสม และมองไม่เห็นเหตุผลที่จะนำเรื่องคดีการบริจาคเงินมาเป็นคดีพิเศษ แต่เป็นการหวังผลทางการเมืองมากกว่า
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ในช่วงที่เกิดความไม่สงบนั้น ข้อเท็จจริงจะต้องสอดคล้องกันทั้งการหาข้อเท็จจริงในส่วนการกระทำเจ้า หน้าที่รัฐและคนเสื้อแดงที่ถูกดำเนินคดีด้วย ซึ่งต้องดูว่าจะมีการสรุปคดีออกมาอย่างไร ตนไม่ติดใจที่มีการเรียกให้ไปให้ถ้อยคำในช่วงนี้ให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวน การยุติธรรม ทำความจริงให้ปรากฏ และพร้อมให้ความร่วมมือทุกประการ
   “ผมไม่เคยใช้วิธีข่มขู่คุกคาม ไม่ว่าจะวันที่มีอำนาจ หรือไม่มีอำนาจ เราให้การตามข้อเท็จจริง แต่สิ่งที่ผมอยากย้ำคือ ลักษณะการให้ข่าว และลักษณะที่มีกระบวนการของเจ้าหน้าที่ ฝ่ายคู่ความ หรือสื่อบางส่วน กระทำในลักษณะชี้นำสังคมให้เกิดความเข้าใจผิด สิ่งเหล่านี้ไม่เหมาะสม เพราะในวันที่พวกเราเป็นรัฐบาลไม่เคยใช้วิธีการเหล่านี้ ไม่เคยกดดันเจ้าหน้าที่ในการทำคดี แต่เราระมัดระวังในการให้ข้อมูล เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องและนำไปสู่ความปรองดอง เพราะรู้ดีว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ควรจะชี้นำ แต่ที่ผ่านมา ถ้ามีผลสรุปออกมาในทางที่กลุ่มคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยไม่พอใจ ก็จะมีการกดดันอยู่ตลอดเวลา ผมยืนยันว่าข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ข้อเท็จจริงคือข้อเท็จจริง ไม่ว่าจะมีใครกลั่นแกล้ง หรือปั้นพยานหลักฐานเท็จอย่างไร ในที่สุดจะถูกดำเนินการตามกฎหมาย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามว่าผู้ที่จะทำข้อเท็จจริงให้ปรากฏต่อศาล คือดีเอสไอ ซึ่งเป็นหน่วยงานตั้งต้นของกระบวนการยุติธรรม มีการเปลี่ยนท่าทีไปแล้ว มองอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ดีเอสไอต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง และขอเตือนเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมว่าอย่าทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง หรือไปตอบสนองความต้องการของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด เพราะสุดท้ายเจ้าหน้าที่คือผู้ที่ต้องรับผิดชอบ และเห็นว่าคดีที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของ พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม ที่ดีเอสไอระบุว่า หาผู้กระทำความผิดไม่ได้ต่างจากเดิมที่เคยมีการระบุถึงผู้กระทำความผิด ชัดเจนนั้น เป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการต่อเพื่อทำความจริงให้ปรากฏ เพราะดีเอสไอเคยทำสำนวนไว้กว่า 10 คดี เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ระบุว่ามีคนติดอาวุธและอยู่ในฝ่ายผู้ชุมนุม ที่ทำให้เกิดความสูญเสีย ส่วนกรณีที่มีหมายศาลเรียกให้เป็นพยานในคดีที่ศาลไต่สวนการเสียชีวิตว่าอาจ เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งตนเพิ่งจะได้เห็นหมายศาลเมื่อเช้านี้ (20 ส.ค. 55) เนื่องจากเอกสารที่ส่งมาไม่ได้ประทับตราหมายศาล แต่ส่งโดยทนายผู้เสียหาย ประกอบกับช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็อยู่ที่สภาฯ เพื่อพิจารณาร่าง พร.บ..งบประมาณฯ ตลอด จึงทำหนังสือขอเลื่อนไป 2 สัปดาห์