มติชน 28 สิงหาคม 2555 >>>
เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง อดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าให้ปากคำ 13 ชั่วโมง คดีการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่รัฐและประชาชน จำนวน 98 ศพ จากเหตุชุมนุมทางการเมืองเมื่อปี 2553 ว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอถามเยอะ และได้นำคลิปวิดีโอที่อ้างว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนถนนราชดำเนินตอนกลางวันมาให้ดู และบอกว่าเป็นคลิปที่แสดงให้เห็นว่าทหารยิงคนเสื้อแดงและตนได้ตอบไปว่าไม่เคยเห็นมาก่อน เนื่องจากเหตุการณ์ในวันที่ 10 เมษายน 2553 มีสื่อมวลชนทั้งทีวีและหนังสือพิมพ์คอยรายงานสถานการณ์ตลอดขณะมีการขอพื้นที่คืน ไม่พบว่ามีการยิงแต่อย่างใด
นายสุเทพกล่าวต่อว่า การยิงและมีผู้เสียชีวิตเกิดขึ้นช่วงค่ำของวันที่ 10 เมษายน ดังนั้น เมื่อดีเอสไอนำเอกสารการยอมรับมาให้เซ็นชื่อรับรอง จึงไม่ได้เซ็นชื่อรับรองในเอกสารดังกล่าว คลิปที่พนักงานสอบสวนดีเอสไอนำมาให้ดู ไม่เคยเห็นมาก่อนจริงๆ พนักงานสอบสวนอ้างว่าเป็นคลิปนำมาจากยูทูบ เป็นภาพเหตุการณ์ตอนกลางวัน มีเจ้าหน้าที่ทหารถือปืนเอ็ม 16 และปืนทราโว่ และในภาพไม่เห็นผู้เสียชีวิต ส่วนวันเวลาที่ระบุอยู่ในคลิป ไม่ได้สังเกต เนื่องจากให้ดูช่วงสอบปากคำดึกแล้ว
นายสุเทพกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนยังสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 เมษายน จนถึงเหตุยุติในเดือนพฤษภาคมมีการถามถึงคำสั่งในการปฏิบัติการ จึงได้นำคำสั่งทั้งหมดมอบให้พนักงานสอบสวนส่วนที่ตนลงนาม และได้บอกกับพนักงานสอบสวนว่า นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เคยเสนอและแนะนำในที่ประชุม ศอฉ.ในขณะนั้นว่า สถานการณ์รุนแรง อาจต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน ซึ่งการประกาศครั้งนั้น เป็นไปตามกฎบัตรของสหประชาชาติในการใช้กำลัง โดยมีอัยการและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องรับทราบตลอด อีกทั้งทางฝ่ายผู้ชุมนุมได้มีการใช้อาวุธ
นายสุเทพกล่าวต่อว่า พนักงานสอบสวนได้สอบถามว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เข้ามาสั่งการให้ ศอฉ.หรือไม่ ตนก็ชี้แจงว่า อดีตนายกฯมีภารกิจมาก ได้มอบหมายคำสั่งในเชิงนโยบาย ซึ่งตนในฐานะ ผอ.ศอฉ.จะเป็นผู้พิจารณาว่าจะดำเนินการแก้ไขสถานการณ์ในขณะนั้นอย่างไร เช่น การขอคืนพื้นที่บริเวณถนนราชดำเนิน เพื่อเปิดทางจราจรจากสะพานพระราม 8 จนถึงสะพานพระปิ่นเกล้า เพื่อให้รถเคลื่อนตัวได้ ซึ่งตนก็ถามนายกฯอภิสิทธิ์ว่า ต้องการขอคืนพื้นที่หมดทั้งเส้นราชดำเนินหรือไม่ นายกฯอภิสิทธิ์ ก็บอกว่าไม่ใช่ เพราะยังมีพื้นที่ให้ผู้ชุมนุมสามารถใช้ได้ และรถสามารถใช้สัญจรได้ จึงขอคืนพื้นที่บริเวณสี่แยก จปร.ด้านถนนราชดำเนินนอก และถนนราชดำเนินกลางบริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ตนก็ชี้แจงให้พนักงานสอบสวนฟังจนเข้าใจ
นายสุเทพกล่าวอีกว่า พนักงานสอบสวนดีเอสไอยังถามถึงการปฏิบัติหน้าที่ของนายอภิสิทธิ์ว่าเข้ามาเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ใดหรือไม่ ได้ชี้แจงว่าอดีตนายกฯใช้เวลาส่วนใหญ่รับฟังบรรยายสรุปจากเจ้าหน้าที่ และพยายามหาแนวทางในการคลี่คลายสถานการณ์ เช่น การเจรจา การนำทีมเจรจาไปเจรจากับแกนนำ นปช. และมีหน้าที่อธิบายสถานการณ์ให้ประชาชนได้รับทราบถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมทั้งติดต่อกับองค์กรสิทธิมนุษยชน โดยงานใน ศอฉ. นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกคำสั่งใน ศอฉ. ตนเป็นผู้ลงนาม
นายสุเทพยังกล่าวอีกว่า โดยความชัดเจนของพนักงานสอบสวนจะซักถามเรื่องการสลายการชุมนุม การให้เจ้าหน้าที่ขอคืนพื้นที่ การกระชับพื้นที่ในวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งตนยืนยันไปว่าเหตุการณ์วันนั้นไม่ใช่การสลายการชุมนุม เพราะขณะที่เจ้าหน้าที่พยายามขอคืนพื้นที่บริเวณสวนลุมพินี ก็ถูกกลุ่มผู้ก่อการร้ายใช้อาวุธตอบโต้ ส่วนเหตุการณ์ที่บริเวณสี่แยกราชประสงค์ ไม่มีกำลังเจ้าหน้าที่เข้าไปที่หน้าเวทีหรือบริเวณที่ยังมีการชุมนุมกันอยู่ ต่อมาเมื่อมีเหตุการณ์รอบนอก แกนนำผู้ชุมนุมจึงได้สั่งยุติการชุมนุมและมอบตัวกับเจ้าหน้าที่
"เรื่องชายชุดดำ ที่ผมนำคลิปมาชี้แจง พนักงานสอบสวนถามผมว่า หากมีชายชุดดำเข้าร่วมจริง มีผู้ก่อการร้ายใช้อาวุธทำร้ายประชาชน ไม่เห็นเจ้าหน้าที่จับใครได้ซักคน ผมเลยตอบเขาว่า คุณถามผมเหมือนกับเสื้อแดงเขียนคำถามให้มาถามผมเลย ผมก็อธิบายให้เขาฟังว่าชายชุดดำมีจริง และดีเอสไอได้ส่งฟ้องศาลแล้ว ขณะนี้คดีอยู่ที่ศาล อย่างไรก็ตาม หากมีคนตายอยู่ในพื้นที่ควบคุมของผู้ชุมนุมจริง เราจะทราบว่าเขาตาย ก็ต่อเมื่อได้รับแจ้งจากศูนย์นเรนทรของกระทรวงสาธารณสุข และหากผู้ตายเป็นผู้ก่อการร้ายชุดดำจริง อาจมีคนปลดอาวุธให้เขาไปหมดแล้วก่อนจะนำส่งโรงพยาบาล" นายสุเทพ กล่าว
นายสุเทพกล่าวอีกว่า ในคดีก่อการร้ายที่ดีเอสไอสอบสวนเสร็จจนส่งอัยการ มีผู้ต้องหา 26 คน จำนวนนี้มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและแกนนำ นปช. ถูกตั้งข้อกล่าวหาในฐานะผู้ก่อการร้ายด้วย โดยจำนวนนั้นมีหลายคนเป็นผู้ก่อการร้ายและเป็นชายชุดดำ หลายคนให้การรับสารภาพว่าได้รับการฝึกอาวุธจากต่างประเทศ เป็นกลุ่มนักรบพระเจ้าตาก และยังเอาปืนทราโว่ยิงใส่โรงแรมดุสิตธานี บางคนเอาปืนเอ็ม 79 ไปยิงที่นั่นที่นี่ ซึ่งมีอยู่ในรายงานของดีเอสไออยู่แล้ว แต่การที่พนักงานสอบสวนชุดนี้ระบุว่าไม่มีข้อมูลชายชุดดำ เข้าใจว่าพนักงานสอบสวนชุดนี้เป็นคนละชุดกับที่เคยมีการสอบสวนไว้เดิม
นายสุเทพกล่าวต่อว่า ไม่ได้เสียกำลังใจและทำใจได้อยู่แล้วว่าวันหนึ่งต้องเจอภาวะอย่างนี้ ตนยังได้ย้ำกับพนักงานสอบสวนว่า สมัยที่เป็นรองนายกฯฝ่ายความมั่นคงก็ได้ช่วยให้ดีเอสไอได้รับการอนุมัติให้เปิดตำแหน่งเพิ่มเติม ไม่เคยเข้าไปแทรกแซงการทำงานของดีเอสไอและตำรวจ ก็หวังว่าหน่วยงานนี้จะทำคดีให้ถูกต้องเที่ยงธรรม ความจริงที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร คอป. ที่มีนายคณิต ณ นคร ได้ตรวจสอบแล้ว เพื่อวันข้างหน้าประชาชนจะได้ทราบว่าความจริงเป็นอย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า บรรยากาศในการสอบปากคำเป็นอย่างไร นายสุเทพกล่าวว่า ธรรมดา ตนก็พยายามตั้งใจตอบให้ตรงคำถาม
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า หลังให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนแล้ว ยังเชื่อมั่นในการทำงานของดีเอสไอหรือไม่ นายสุเทพกล่าวว่า เชื่อมั่นในระบบและองค์กร ส่วนตัวบุคคลเป็นอีกเรื่องหนึ่ง หัวหน้าพนักงานสอบสวนถามว่าตนเคยมีเรื่องโกรธแค้นใครใน ศอฉ. หรือไม่ จึงได้ตอบไปว่าในอดีตไม่เคยโกรธเคืองใคร แต่ในอนาคตไม่แน่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังออกจากห้องสอบปากคำนาน 13 ชั่วโมง เมื่อเจอนักข่าวยังรอสัมภาษณ์และสอบถามถึงสาเหตุที่ใช้เวลาสอบปากคำค่อนข้างนาน นายสุเทพพูดว่า "ชีวิตก็เป็นอย่างนี้เอง"