ประชาไท 3 สิงหาคม 2555 >>>
ในสมัยกลางของยุโรป เมื่อคริสตศาสนายังคงเป็นความคิดอันครอบงำ ชนชั้นปกครองและพระชั้นสูงในสมัยนั้น รักษาอำนาจโดยการอ้างอิงตนเองว่า เป็นผู้ศรัทธาต่อพระเจ้าอันแท้จริง และกล่าวหาคนที่คิดต่างว่า เป็นพวกแม่มด ต้องถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็น ผลจากกรณีนี้ทำให้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ถูกสอบสวนและถูกลงโทษ เมื่อเวลาผ่านไป มาตราการล่าแม่มดเช่นนี้ ถือว่าเป็นมาตราการป่าเถื่อนจึงถูกยกเลิก เสรีภาพในด้านความคิดความเชื่อจึงเป็นที่ยอมรับ และชาวยุโรปก็จะเลิกบังคับให้คนคิดและศรัทธาในแบบเดียวกัน
แต่ในกรณีของประเทศไทย การล่าแม่มดยังคงดำเนินการอยู่ กรณีล่าสุด เริ่มต้นเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำวินิจฉัยกรณีที่ศาลเองไปทำการละเมิดอำนาจนิติบัญญัติ ด้วยการใช้คำสั่งให้รัฐสภายุติการพิจารณาการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ที่จะต้องมีการลงมติในวาระที่สาม ในวันนั้น กลุ่มประชาชนฝ่ายขวาหลายกลุ่มที่ให้การสนับสนุนศาลรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกตนเองว่า กองทัพปลดแอกประชาชน ได้ไปชุมนุมกันที่บริเวณด้านหน้าสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โดยอ้างเหตุผลว่าจะปกป้องศาล ซึ่งในที่สุด ศาลรัฐธรรมนูญก็ได้เสนอข้อวินิจฉัยอันไร้สาระออกมาชุดหนึ่ง แต่ปัญหาของเหตุการณ์ไม่ได้อยู่ที่คำวินิจฉัย หากแต่อยู่เหตุการณ์หน้าศาล ดังที่เอเอสทีวีรายงานว่า
“ในระหว่างที่กลุ่มกองทัพปลดแอกประชาชน จะให้สื่อมวลชนบันทึกภาพในพิธีอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ มาร่วมในการบันทึกภาพ ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อมีหญิงสูงอายุคนหนึ่ง ทราบชื่อภายหลัง นางฐิตินันท์ แก้วจันทรานนท์ อายุ 63 ปี ได้เดินฝ่าฝูงชนเข้ามาตรงไปยังผู้ที่อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ ก่อนที่จะกระทำการอันมิบังควรกับพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งผู้ถือได้ชูอยู่เหนือศีรษะ สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก”
เหตุการณ์นี้เองได้กลายเป็นที่มาของการล่าแม่มดครั้งใหม่ เพราะกลุ่มพลังฝ่ายขวาทั้งหลายได้ถือโอกาสนำมาเป็นเรื่องสร้างกระแสติดตามและสำแดงพลังคุกคาม โดยส่วนหนึ่งก็ได้นำเรื่องนี้มาโจมตีกล่าวหาฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และโจมตีไปถึง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวหาว่า ไม่สนใจติดตามตัวคุณฐิตินันท์มาดำเนินคดี แม้ว่าจะมีรายงานข่าวว่า คุณฐิตินันท์เป็นบุคคลไม่ปกติ มีอาการทางประสาท ทั้งเป็นผู้สูงอายุแล้ว แต่กลุ่มฝ่ายขวาก็ยังคงไม่ละเว้น ยังคงกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเล่นงานคุณฐิตินันท์ให้เป็นเหยื่อกรณี 112 อย่างปราศจากความเมตตา และยังโจมตีไปถึงสื่อกระแสหลัก เช่น ไทยรัฐ มติชน และ โทรทัศน์ช่องต่างๆ รวมไปถึงรายการของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ว่ามิได้อนาทรร้อนใจต่อพฤติกรรมมิบังควรของหญิงชรารายนี้
เหตุผลในการติดตามไล่ล่าคุณฐิตินันท์ครั้งนี้ กลุ่มฝ่ายขวาก็กระทำเช่นเดิม คือโจมตีคุณฐิตินันท์ว่าเป็นคนชั่ว หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ นำรูปมาขึ้นปกแล้วเปรียบเทียบว่าเป็น “เห็บหมา” พวกฝ่ายขวาพยายามอ้างตนเองเป็นผู้มีความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้งยิ่งกว่าใคร และได้แสดงความเห็นในทางที่ไม่เชื่อว่า คุณฐิตินันท์จะเป็นผู้มีอาการป่วย แต่กล่าวหาไปว่า ทางการตำรวจใช้ข้ออ้างนี้ในทางที่จะไม่ดำเนินคดี เช่นในการชุมนุมเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่ายขวาได้นำหุ่นแทนตัว พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ นำใส่โลงศพจำลอง มายังบริเวณหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนทำการฌาปนกิจ ด้วยการฉีดสารเคมีแทนการเผาหุ่น เพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่าไม่ต้องการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ไม่ดำเนินคดีกับกลุ่มคนที่กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ในการติดตามไล่ล่าแม่มดครั้งนี้ ได้นำเอาประวัติของคุณฐิตินันท์มาเปิดเผยว่า เป็นชาวอำเภอพล ขอนแก่น และเปิดร้านอาหารที่เมืองไครสเชิร์ส ประเทศนิวซีแลนด์ อ้างกันว่ามีเฟสบุคในโลกไซเบอร์ และมีการกดไลค์เพจของณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นเพื่อนกับอดิศร เพียงเกษ และขวัญชัย ไพรพนา มีรายการดนตรีโปรดปรานคือ วิสา คัญทัพด้วย และยังคลิกไลค์เพจ “รวมพลังสนับสนุนการทำงานของ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง” ทั้งที่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เป็นพฤติกรรมอันผิดกฎหมายแต่อย่างใด
กรณีที่คุกคามอย่างมาก คือเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม กลุ่มฝ่ายขวาจำนวนหนึ่งได้ไปรวมกลุ่มกันถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อมีข่าวว่า คุณฐิตินันท์จะเดินทางกลับนิวซีแลนด์ ผู้ชุมนุมฝ่ายขวาอ้างว่า ต้องการไปยุติการเดินทาง เพราะทราบมาว่า คุณฐิตินันท์จะเดินทางด้วยเครื่องบินของการบินไทยในเวลา 18.40 น. และยังบางกระแสข่าวระบุว่า กัปตันของการบินไทยที่ทำหน้าที่ในไฟลต์บินดังกล่าวได้ประกาศว่า เขาและลูกเรือจะไม่ทำการบิน หากนางฐิตินันท์มีรายชื่อเป็นผู้โดยสาร เพราะถือว่าเป็นบุคคลวิกลจริต ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมสถานการณ์อยู่ ได้บอกต่อประชาชนที่มาประท้วงว่า นางฐิตินันท์ ไม่ได้มาเช็กอิน แต่อยู่โรงพยาบาล ซึ่งเมื่อแน่ใจว่า นางฐิตินันท์ไม่ได้เดินทางกลับนิวซีแลนด์ ประชาชนที่ไปรวมตัวดักรอนางฐิตินันท์ จึงสลายตัวในเวลาต่อมา
ปรากฏว่า พ.ต.อ.พงษ์ สังข์มุรินทร์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง ยืนยันว่า ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อคุณฐิตินันท์แล้ว พร้อมควบคุมตัวส่งโรงพยาบาลศรีธัญญา เนื่องจากมีประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าว ต่อมาได้นำตัวส่งสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์และอายัดตัวไว้เพื่อตรวจสอบสภาพจิต จึงไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ประกอบกับพาสปอร์ตของคุณฐิตินันท์ยังอยู่กับพนักงานสอบสวน ส่วนตั๋วเครื่องบินเดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์ นั้นเป็นการซื้อตั๋วแบบไป-กลับ ราคาประหยัด หากไม่ได้เดินทาง ก็จะเป็นการยกเลิกไปโดยปริยาย และมีการสอบปากคำพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ไปแล้ว 3 ปาก รวมถึงสอบปากคำสามี และบุตรชายของนางฐิตินันท์ ซึ่งระบุว่า ช่วงหลัง นางฐิตินันท์ไม่ค่อยรับประทานยา พร้อมนำตัวอย่างยามอบให้พนักงานสอบสวนด้วย
กรณีนี้จึงอธิบายได้ว่า คุณฐิตินันท์ก็ตกเป็นเหยื่ออีกกรณีหนึ่งของกรณีมาตรา 112 ที่เริ่มต้นจากฝ่ายพันธมิตรประชาชนโดย คุณสนธิ ลิ้มทองกุล ที่อ้างเอาสีเหลืองของสถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มของตน เพื่ออ้างอิงผูกขาดความภักดี และใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นเครื่องมือในการโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและใส่ร้ายบุคคลที่มีความคิดต่าง และต่อมาในสมัยรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็มีการขานรับการดำเนินการของฝ่ายเสื้อเหลือง โดยกวาดจับประชาชนจำนวนมากในข้อหาความผิดตามมาตรา 112
พร้อมกันนั้น สื่อมวลชนของฝ่ายเสื้อเหลืองและฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ใช้วิธีปลุกระดมประชาชนให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังผู้ที่มีความคิดต่าง โดยดึงเอาสถาบันเบื้องสูงมาเป็นข้ออ้างตลอดเวลา ในระยะที่ผ่านมาจึงมีผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ต้องตกเป็นเหยื่อตามข้อกล่าวหาในมาตารานี้ ตัวอย่างเช่น กรณีของ คุณดารณี ชาญเชิงศิลปกุล คุณสมยศ พฤกษาเกษมสุข คุณสุรชัย ด่านวัฒนุสรณ์ และ คนอื่นอีกหลายคน และยังมีผู้บริสุทธิ์ที่ถูกขังจนถึงแก่กรรมในคุกมาแล้ว เช่น กรณีคุณอำพน ตั้งนพคุณ
ปัญหาคือ การเคลื่อนไหวปลุกเร้าประชาชนลักษณะนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดพุทธิปัญญาแต่อย่างใด และยิ่งไม่เป็นผลดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่กลับยิ่งทำให้เกิดความงมงายคับแคบ คิดและศรัทธาแบบเดียวตายตัว เห็นคนที่คิดต่างเป็นศัตรูที่ต้องกวาดล้างทำลาย ย้อนกลับไปในเมื่อปี พ.ศ. 2519 กลุ่มฝ่ายขวาของสมัยนั้นก็ดำเนินการลักษณะเดียวกันในการปลุกปั่นให้เกิดความเข้าใจผิดและความเกลียดชังต่อขบวนการนักศึกษา โดยกล่าวหาว่าเป็นพวกที่ไม่จงรักภักดี และผลจากการเคลื่อนไหวปลุกกระแสเช่นนั้น ก็นำมาสู่การฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิจำนวนมากในกรณี 6 ตุลาคม ซึ่งเป็นรอยมลทินครั้งใหญ่ประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน
คำถามก็คือ ถ้าคิดอย่างมีสติแล้ว สังคมไทยจะได้คุณประโยชน์อย่างใดหรือ ถ้าจะต้องจับเอาผู้สูงอายุ เช่น คุณฐิตินันท์มาเป็นจำเลย หรือต้องถูกจำคุกต่อแถวอีกคนหนึ่ง ในจำนวนนักโทษการเมืองผู้บริสุทธิ์ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ในขณะนี้