ผมกลับจากการไปพักผ่อนที่เชียงใหม่เมื่อวาน ไม่พลาดโอกาสทานกาแฟกับอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ วันนี้กลับมาประชุมทำงานที่กรุงเทพ แล้วพรุ่งนี้จะไปหมู่เกาะอ่าวไทย เพื่อบรรยายวิชาการเรื่องพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล
การได้สูดอากาศบนดอยสีเขียว แล้วเตรียมไปรับลมทะเลสีคราม ชมความงานของบ้านเรา ได้คิดได้คุยในสิ่งที่เราสนใจ ฟังดูน่าจะมีความสุข แต่วันนี้ ผมกลับ 'มึนหัว' ตึบ ตึบ ตึบ ทั้งที่ไม่ได้เมารถขึ้นเขา หรือเมารือลงทะเล
แต่ผม 'มึน' กับ 'ความพิสดาร' ของ 'คำวินิจฉัยส่วนตน' ของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเรื่องการทำประชามตินั้น ตุลาการ 8 ท่าน มีความเห็นแตกออกเป็น 4 ฝ่าย ซึ่งเมื่ออ่านรวมกันแล้ว ก็พบว่าขัดแย้งกับ ‘คำวินิจฉัยกลาง’ ที่เผยแพร่ไปก่อนหน้านี้
ยิ่งมานั่งอ่านทีละบรรทัด ยิ่งมึน ยกตัวอย่าง ท่านประธานศาล เขียนย่อหน้าหนึ่ง บอกว่า การที่สภาพิจารณาการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็น ‘การใช้สิทธิเสรีภาพ’ แต่พอมาอีกย่อหน้าในหน้าเดียวกัน กลับบอกว่าเป็น ‘การใช้อำนาจ’ ของรัฐสภา
มึนแล้วไม่พอ ผมรู้สึก 'คลื่นไส้' เมื่อเห็น ‘สำนักงานศาล’ มาวิ่งไล่แจ้งความเอาผิดประชาชน แถมเขียนขู่อีกว่าจะไปแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มอีก
กรณี เจ๋ง แจกเบอร์
กรณี คุณเจ๋ง ดอกจิก ที่ไปแจกชื่อแจกเบอร์โทรศัพท์ของครอบครัวตุลาการ ผมว่าคุณเจ๋ง ทำแย่มากนะครับ
หาก ‘ครอบครัว’ ตุลาการถูกคุกคามให้เดือดร้อนเสียหายจากการกระทำดังกล่าว ผมสนับสนุนให้ครอบครัวตุลาการใช้สิทธิดำเนินคดีและเรียกค่าเสียหายจากคุณเจ๋งได้เต็มที่
แต่หากมองจากมุมของ ‘ศาล’ ซึ่งมีทั้งอำนาจ ทั้งสื่อ และกองรักษาความปลอดภัยที่ประชาชนจัดให้แล้ว ข้อที่ไม่ควรลืมคือ คุณเจ๋งได้ขอโทษศาลไปแล้ว และสังคมรวมทั้งสื่อ ก็ร่วมกันลงโทษคุณเจ๋งไปแล้ว แม้แต่แกนนำเสื้อแดงก็ลงโทษคุณเจ๋งด้วย ไม่ว่าจะโดยคำต่อว่า คำด่า หรือคำขู่ ผู้เขียนเองเดาว่า เหตุที่คุณเจ๋งได้ขอโทษ ส่วนหนึ่ง ก็เพราะถูก ‘ผู้ใหญ่ต้นสังกัด’ ตำหนิต่อว่าเช่นกัน
แต่ก็ไม่เห็นคุณเจ๋งเขาจะไปไล่แจ้งความเอาผิดใครที่มาต่อว่าด่าทอ ทั้งที่ คุณเจ๋งเป็นประชาชนคนธรรมดาไม่มีอำนาจอะไร
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวตุลาการท่านเอง ก็ยังมิได้ติดใจไปแจ้งความ แล้วเหตุใดสำนักงานศาลจะต้องไปวิ่งไล่แจ้งความแทน ?
ประชาชนชุมนุมขุ่มขู่ศาล ?
ส่วนประชาชนที่ไปประท้วง ปราศรัย ชุมนุมข่มขู่ศาล ส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้สนับสนุนเห็นชอบอะไร
แต่ผมเชื่อว่า สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมแสดงความเห็น เพื่อต่อต้านหรือประท้วงการใช้อำนาจของรัฐ แม้มันจะดุเเดือด เผ็ดร้อน หยาบคาย หรือไม่เรียบร้อยเพียงใด แต่ก็เป็นความจำเป็นต่อประชาธิปไตย เพราะประชาชนคนธรรมดา อาจไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะไปขอพื้นที่จากสื่อ หรือเรียกให้นักการเมืองมาเป็นตัวแทนของเขาในทุกเรื่อง
การแสดงออกเหล่านี้เอง คือ 'ท่อหายใจ' ที่พื้นฐานที่สุด ของประชาชน ที่จะขอความสนใจจากผู้มีอำนาจ รวมทั้งสื่อ และเพื่อนประชาชนด้วยกัน เพื่อให้ตนเองได้มีส่วนร่วมทางการเมือง
ยิ่งไปกว่านั้น หลักฐานปรากฏชัดว่า เรามีตุลาการที่เข้มแข็งอาจหาญ ตัดสินคดีไปตามที่ท่านเห็น แม้สังคม รัฐสภา หรือนักวิชาการ หรือแม้แต่สื่อต่างประเทศ จะท้วงท่านอย่างไร ท่านก็ไม่เอนเอียงตามแรงกดดัน แล้วเหตุใดสำนักงานศาลจะต้องไปวิ่งไล่แจ้งความแทน ?
ประชาชนแจ้งความเท็จ ?
สิ่งที่ผมมองว่าเลวร้ายที่สุด คือ การที่สำนักงานศาลไปแจ้งความกลับ เพื่อเอาผิดประชาชนที่ไปแจ้งความเอาผิดศาลว่าศาลใช้อำนาจโดยมิชอบ
ก็ถ้าประชาชนแจ้งความท่าน สุดท้ายคนที่จะเอาผิดท่านได้ ก็คือ ลูกหลานตุลาการของท่านเอง มิใช่หรือ ?
สำนักงานศาล รวมถึงตำรวจที่รับแจ้งความ โปรดไปศึกษาคำพิพากษาศาลฎีกาให้ดี หากประชาชนแจ้งความตามที่เชื่อโดยสุจริตก็ดี หรือแจ้งตามสภาพที่พบเห็นโดยมีเหตุอันควรเชื่อว่าเป็นความจริงก็ดี ศาลฎีกาได้ตีความเป็นบรรทัดฐานเสมอมาว่าไม่เป็นความผิด เช่น ฎีกาที่ 1050/2514, 3025/2526, 4669/2530 หรือ 1173/2539
ท่านกลัวว่าท่านจะทำผิดจริง ?
ก็ท่านเป็นถึงศาลรัฐธรรมนูญ ท่านตีความกฎหมายผูกพันทุกองค์กร รวมถึงตำรวจ ป.ป.ช. หรือแม้แต่ ศาลฎีกา ถ้าท่านสุจริตใจ ทำตามอำนาจกฎหมายที่ท่านมี ท่านจะไปกลัวอะไรครับ ?
ต่างกันราวฟ้ากับดิน เมื่อเทียบกับประชาชนคนธรรมดา แม้เป็นเจ้าของอำนาจ แต่ก็มอบให้คนอื่นไปจนตนเองเหลือน้อยนิด ได้แต่มองดูนักการเมืองที่นอบน้อมต่อคำวินิจฉัยของศาล ขนาดสภายังชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่ศาลสั่ง แล้วหากประชาชนไม่พึ่งความเห็นและเสียงของตนเอง แล้วจะให้ไปพึ่งใคร ?
ท่านกลัวสังคมเข้าใจท่านผิด ?
ไม่ต้องกลัวครับ เพราะท่านมี 'สื่อ' ที่คอยบริการ 24 ชั่วโมง รายงานทุกความเคลื่อนไหวของท่าน ตอนท่านอ่านคำวินิจฉัย ก็ถ่ายทอดสดรายงานทั่วประเทศ ทุกช่องอยากขอสัมภาษณ์ตุลาการ ท่านไม่มาก็มีนักวิชาการคอยมาฟังและอธิบายแทนท่าน แม้แต่ท่านประธานศาลพูดอะไรสั้นๆ 1 ประโยค ก็กลายเป็นคำพาดหัวหนังสือพิมพ์ได้ทุกฉบับ สิ่งที่ท่านเขียนไว้ในราชกิจจานุเบกษา ก็ถูกส่งไปพิมพ์ขึ้นมาโดยเงินภาษีประชาชน
ต่างกันราวฟ้ากับดิน เมื่อเทียบกับประชาชน ที่ไม่มีอำนาจจะไปตีฆ้องร้องป่าวให้สื่อและสังคมหันมาสนใจมุมมองที่เขามองความไม่ยุติธรรมในสังคม
ท่านกลัวการถูกข่มขู่ ?
ไม่ต้องกลัวครับ ประชาชนได้พร้อมใจจ่ายภาษีเพื่อให้ท่านมีความปลอดภัย มีเฮลิคอปเตอร์ และกองกำลังที่คุ้มครองท่าน และประชาชนอย่างผมและอีกหลายคน รวมถึงสื่อที่คอยติดตามเฝ้าระวังแทนท่าน ก็พร้อมจะออกมาต่อวต้านใครผู้ใดก็ตามที่จะไปทำร้ายท่าน โดยที่ท่านเองไม่ต้องลำบากไปทำอะไร
ต่างกันราวฟ้ากับดิน เมื่อเทียบกับประชาชนคนธรรมดา ที่พอวิจารณ์ศาลหรือผู้มีอำนาจมาก ก็ถูกดักรุมทำร้ายได้ตลอดเวลา แม้แต่อาจารย์มหาวิทยาลัยชื่อดังมีลูกศิษย์มากมาย ยังถูกดักทำร้ายได้ง่ายๆหน้าตึกที่ตัวเองทำงาน
ท่านกลัวการเป็นคู่ความ ?
หากมีอะไรที่จะพอเป็นเหตุเป็นผลให้ตุลาการกลัว ก็คือกลัวการเป็นคู่ความฟ้องคดีเอง เพราะกลายเป็นว่า หากวันใดมีคดีมาสู่ศาล ก็อาจถูกหาว่าตนมีส่วนได้เสีย จนทำให้ต้องถอนตัว และพลาดโอกาสใช้อำนาจเอาคืนประชาชนอย่างน่าเสียดาย
ตุลาการไทย ทำลายสถิติโอลิมปิก ?
จากที่กล่าวมาทั้งหมด ผมจึงเห็นว่า มันไร้สาระมาก หากเราจะมานั่งเถียงกันว่า สำนักงานศาลก็มีสิทธิฟ้องคดีเพื่อปกป้องตุลาการมิใช่หรือ
เราลองดู ‘ฝ่ายบริหาร’ หรือ ‘ฝ่ายนิติบัญญัติ’ ที่ถูกประชาชนข่มขู่ เหยียดหยาม จ้องเอาผิด กันอยู่ทุกวัน ผมก็ไม่เห็นสำนักนายกฯ หรือ สำนักงานเลขาธิการสภาฯ จะมาไล่ฟ้องประชาชน เพราะเขายอมรับว่า ประชาชนต้องตรวจสอบบุคคลสาธารณะผู้ใช้อำนาจได้
หากกรณีใดที่ประชาชนทำแรงเกินไป หรือส่วนตัวเกินไป ก็ต้องเป็นตัว นายกฯ หรือ ประธานสภาฯ เอง ที่จะไปฟ้องคดีเอาผิด ไม่ใช่ให้สำนักงานราชการมาใช้เงินภาษีของประชาชนมาเอาผิดประชาชน
สิ่งที่ร้ายที่สุดจะเกิดเมื่อ ‘ประชาชนด้วยกันเอง’ ไปหลงผิดยอมรับว่า การที่ผู้ใช้อำนาจมาฟ้องประชาชนนั้น เป็นเรื่องปกติที่ทำได้ง่ายๆ เพราะหากหลงคิดเช่นนั้น ก็เท่ากับประชาชนยอมรับให้ผู้ใช้อำนาจสามารถคุกคามข่มขู่ให้ประชาชนกลัว จนไม่อยากตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ผู้ใช้อำนาจในที่สุด ซึ่งในประเทศที่เจริญแล้ว เขาไม่ทำกัน หมายถึง ประชาชนเองที่เจริญแล้ว ก็ต้องไม่ไปหลงผิดคิดกลัวตามไปด้วย
ดังนั้น ในปีนี้ หากจะมีการประชุมตุลาการนานาชาติที่มีตุลาการจากแต่ละประเทศมาประชุมร่วมกัน (ซึ่งประชาชนจ่ายภาษีให้ตุลาการไทยได้บินไปประชุมอยู่ทุกปี) ท่านเลาธิการสำนักงานศาล น่าจะลองขอเบิกงบไปประชุมด้วย เพื่อไปถามตุลาการจากทั่วโลกว่า สำนักงานศาลบ้านเขา หรือแม้แต่ตัวตุลาการเขาเอง มาวิ่งไล่ฟ้องประชาชนของเขาในเรื่องไร้สาระแบบนี้ กันปีละกี่คดี ?
เพราะไม่แน่ว่า อาจมีการทำลายสถิติโลก ในประเภทกีฬา ‘ชกประชาชน’ ! แม้ว่าคุณภาพผู้ชก อาจเป็นเพียง 'มือสมัครเล่น' ก็ตาม