อดีตพลพรรคคอมมิวนิสต์ไทย หมดความเป็นคอมมิวนิสต์ไปนานแล้ว ฐานะทางชนชั้นและจิตสำนึกทางชนชั้นก็หมดไปแล้ว ถ้าจะให้ตั้งพรรคใหม่ ก็รับรองได้ว่าคนเหล่านี้ไม่เอาแน่
บทความนี้ดัดแปลงมาจากบทความเดิมของผมเรื่อง “อสังหาริมทรัพย์กับอดีตพลพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย” ที่ได้จากการสำรวจครัวเรือนอดีตพลพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่บ้านในปราบ ม.5 ต.บ้านเสด็จ อ.เคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2551 ผมไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคและไม่เคยเข้าป่า เพียงแต่ไปสัมภาษณ์บุคคลมาเท่านั้น
อดีตพลพรรคฯ นั้นส่วนมากเป็นบุคคลในวัยกลางคนคืออายุเฉลี่ย 54 ปี แต่เกือบทั้งหมดอยู่ในช่วงอายุ 44-64 ปี ช่วงที่ออกมาจากป่ายังหนุ่มแน่น อายุเฉลี่ย 29 ปี แต่ในปัจจุบันมีครอบครัวแล้ว มีสมาชิกในครอบครัวรวม 4 คน แต่ละครอบครัวมีที่ดินเฉลี่ย 55 ไร่ แรก ๆ บางคนอาจได้รับการจัดสรรที่ดินบ้าง แต่ส่วนมากซื้อหรือถากถางป่าเพิ่มเติมจนมีที่ดินมากขึ้น มีเพียง 4 จาก 33 ครอบครัวเท่านั้นที่ได้รับมรดกเป็นที่ดินมาจากบุพการี
รายได้เฉลี่ยจากการทำสวนยาง สวนปาล์มและสวนผสมต่อครอบครัวจึงเป็นเดือนละ 35,355 บาท หรือมีรายได้ต่อหัว 111,117 บาทต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับที่ทางอำเภอเคียนซาได้เคยสำรวจไว้ว่ารายได้ต่อหัวของตำบลบ้านเสด็จเป็นเงิน 89,851 บาทต่อปี รายได้นี้สูงเกือบเท่ารายได้เฉลี่ยของครอบครัวในเขตกรุงเทพมหานครและ 3 จังหวัดโดยรอบที่ 36,096 บาทต่อเดือน บางท่านได้เดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศหรืองานรวมญาติอดีตพลพรรคฯ ในพื้นที่อื่นทั่วประเทศมาแล้ว
ครอบครัวพลพรรคฯ มีทรัพย์สินเฉพาะที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดินเกษตรกรรมเป็นเงินครอบครัวละ 6.1 ล้านบาทหรืออยู่ระหว่างช่วง 2.5-9.7 ล้านบาท ซึ่งยังสูงกว่าราคาบ้านเฉลี่ยในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลที่ราคา 3.1 ล้านบาท พวกเขาเองก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสขยับฐานะทางเศรษฐกิจได้ขนาดนี้ บ้างก็มีฐานะทางสังคมหรือเป็นนักการเมืองท้องถิ่น ฐานะทางชนชั้นของครอบครัวพลพรรคฯ เหล่านี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่ชาวนาผู้ไม่มีอะไรจะสูญเสีย แต่เป็น “นายทุนน้อย” ตามศัพท์ของทางพรรคฯ
แม้ทุกคนที่สัมภาษณ์จะชื่นชมกับพรรคฯ ในอดีต แต่พอผมถามว่า ถ้ามีโอกาสก่อตั้งพรรคใหม่อีก จะเอาไหม ก็ไม่พบใครคิดจะฟื้นพรรคอีกเลย