"มาร์ค" ครวญเบื่อถูกยื่นยุบพรรคทุกวัน

เดลินิวส์ 7 กรกฎาคม 2555 >>>




ที่สถาบันพระปกเกล้า วันนี้ (7 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้บรรยายพิเศษเรื่อง "กลยุทธ์การเป็นผู้นำยุคใหม่ในระบอบประชาธิปไตย: ประสบการณ์ทางการเมือง" ซึ่งเป็นหลักสูตรระดับกลางของ สถาบันพระปกเกล้า ว่า การเป็นผู้นำและผู้บริหารในยุคนี้ จำเป็นอย่างยิ่งต้องค้นคว้าหาความรู้และข้อมูลข่าวสารในด้านต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ทั้งนี้นอกจากจะรู้ปัญหาปากท้องของประชาชนแล้ว จะต้องรู้เรื่องกฎหมาย ข่าวสารต่างประเทศ จะต้องรู้กระแสเปลี่ยนแปลงของโลกด้วย การเป็นผู้นำต้องมองเรื่องเหล่านี้ให้มีความเชื่อมโยงกันไม่ใช่แค่มุมใดมุมหนึ่ง นอกจากนี้คุณสมบัติที่ดีของนักการเมืองจะต้องมีความอดทน อย่างตนเคยนั่งในศาลกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ถึง 8 ชั่วโมงมาแล้ว สังคมปัจจุบันที่มีความขัดแย้งกันแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันมากขึ้นปัญหามาจากสื่อโดยพฤติการบริโภคสื่อ และลักษณะของสื่อที่เปลี่ยนแปลงไป แม้การวัดผลงานของนักการเมืองเองบางครั้งก็จะดูว่าใครออกทีวีมากกว่าจึงจะมีผลงานมากกว่า ปัญหา การเมืองในขณะนี้ เกิดขึ้นเพราะไม่มีการกำหนดขอบเขตให้ชัดเจนว่า อะไรคือเครื่องมือในการแก้ไขปัญหา ระหว่างกฎหมายกับการเมือง ที่บ้านเมืองวุ่นวายอยู่ขณะนี้เพราะฝ่ายหนึ่งบอกว่าเสียงข้างมากมีความชอบธรรมที่จะทำอะไรก็ไม่ผิด และใช้เสียงข้างมากยัดเยียดให้อีกฝ่ายหนึ่งผิด ซึ่งไม่มีประเทศประชาธิปไตยที่ไหนยอมรับตรงนี้ได้ กลับกันฝ่ายที่ไม่พอใจเสียงข้างมากพยายามหาช่องกฎหมายเพื่อทำลายกัน ไม่ได้มีการใช้กฎหมายกันจริงๆ จัดการคนผิดแต่มุ่งจัดการกับคนที่พลาด โดยเฉพาะเรื่องการยุบพรรคตนไม่เคยเห็นด้วยเลย แต่ทุกวันนี้เบื่อมากมียื่นเรื่องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์เกือบทุกวัน
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวว่าปัญหาขณะนี้นักการเมืองขาดความเป็นมืออาชีพ ไม่แยกแยะบทบาทหน้าที่ว่าเป็นอย่างไรทำให้สังคมสับสน สังคมไทยยังไม่หลุดพ้นในระบบพวกพ้อง อุปถัมถ์ สำหรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นตนคิดว่าสามารถทำได้ หลายเรื่องจะต้องมีการแก้ไขซึ่งรัฐบาลที่ผ่านมาก็มีการแก้ไข แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากวาระแอบแฝงพ่วงเข้ามากับรัฐธรรมนูญ เหตุที่ต้องรื้อแก้ทั้งฉบับส่วนหนึ่งมาจากมาตรา 309 ที่อ้างว่าเป็นการสืบทอดอำนาจเผด็จการ ทั้งๆที่ความจริงต้องการจะล้มคำพิพากษาในคดีต่างๆที่ผ่านมาแต่ยังเลี่ยงไม่กล้า อย่างไรก็ตามตนไม่ขัดข้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่เรื่องการกำหนดกติกาที่จะใช้กับคนทั้งประเทศจะต้องไม่เอาเสียงข้างมากมาใช้ สำหรับการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเชื่องช้า คิดว่าเป็นวาทะกรรมสร้างกันได้จะด่าคนนั้นคนนี้ก็ทำได้ ซึ่งก็ยอมรับว่าเราชนะเลือกตั้งน้อยกว่าแพ้ แต่อย่างน้อยเราไม่ถูกยุบพรรคเพราะโกงการเลือกตั้ง
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวอีกว่า ยอมรับว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายในสภาดังล่าวไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่ภายหลังเหตุการณ์ก็ได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องมาพูดคุยพยายามไม่ให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นอีก และได้พูดคุยกับประะานสภาผู้แทนราษฎรด้วยซึ่งท่ายอมรับว่าสถานการณ์พาไป ซึ่งหากจะดูเหตุการณ์เฉพาะช่วงนั้นก็ถือว่าแย่มาก แต่ต้องดูว่าก่อนจะเกิดเหตุการณ์นี้ก็จะเข้าใจอย่างไรก็ตาม น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ก็ได้ออกมาขอดทษแล้ว ซึ่งความจริงก็ไม่ได้รุนแรงอะไร ไม่ได้ทำร้ายใคร แค่ลากเก้าอี้เฉยๆ