เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางธิดา โตจิราการ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พร้อมด้วย น.พ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายคารม พลพรกลาง ทนายความ นปช. ได้เดินทางมาพบปะสมาชิกเสื้อแดงเยอรมันที่อาศัยอยู่ใจกลางเมืองเบอร์ลิน เพื่อร่วมทำกิจกรรมทางการเมือง และเปิดโรงเรียน นปช. เมื่อมาถึงมีกลุ่มเสื้อแดงทั้งคนไทยและเยอรมันกว่า 100 คน เดินทางมารอรับคณะอยู่บริเวณประตูแบรนแดนเบิร์ก ของเยอรมนี ซึ่งประตูนี้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเยอรมัน และสงครามเย็น เพราะเป็นจุดชายแดนระหว่างเบอร์ลินตะวันออก-ตก (เยอรมนีตะวันออก-ตก) ซึ่งต่อมาทางตะวันออกได้สร้างรั้วกันและกั้นประตูนี้ไว้เป็นสมบัติของทางฝั่งตะวันออก จนกระทั่งเหตุการณ์ทำลายกำแพงเบอร์ลินในปี 1989 และปัจจุบันได้กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์หนึ่งของโลก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางธิดาได้นำกลุ่มเสื้อแดงเดินสำรวจรอบประตูแบรนแดนเบิร์ก เพื่อศึกษาเส้นทางประวัติศาสตร์ของประตูชัยแห่งนี้ จากนั้นก็พาสมาชิกเสื้อแดงเดินทางต่อไปยังบริเวณกำแพงเบอร์ลิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสงครามเย็น ถูกสร้างขึ้นเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ. 1961 หลังจากเยอรมนีพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 มีความยาว 155 กิโลเมตร หลังจากนั้นคนเสื้อแดงก็ได้พากันเขียนบันทึกเรื่องราวเหตุการณ์ทางการเมืองในปี 53 ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยลงบนกำแพงเบอร์ลินแห่งนี้ เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป ระหว่างนี้ได้มีสื่อมวลชนเยอรมันสนใจมาบันทึกภาพกิจกรรมของคนเสื้อแดงในครั้งนี้ด้วย จากนั้นนางธิดาฯและคณะก็ได้เดินทางออกจากกรุงเบอร์ลิน ไปยังวัดพุทธบารมี ตั้งอยู่ภายในเมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี เพื่อพบปะเสื้อแดงและเปิดโรงเรียน นปช. ต่อไป
นางธิดา กล่าวกับคนเสื้อแดงในเมืองเบอร์ลิน ว่า ขณะนี้ระบอบอำมาตย์ในประเทศไทยยังคงดำรงอยู่ ดังนั้นเพื่อให้สังคมโลกได้รับทราบและเข้าใจทำให้การต่อสู้ของประชาชนคนไทยนั้นชนะอย่างยั่งยืนจึงจำเป็นต้องมีการฟ้องร้องอาชญากรรมในการฆ่าประชาชนของคนไทยด้วยกันเองต่อสังคมโลก และฟ้องร้องถึงปัญหาที่ในประเทศไม่มีนิติรัฐ นิติธรรม ไม่อนุญาตให้คนที่มีความคิดแตกต่างกันอยู่ด้วยกันได้อย่างสันติสุข และไม่ยอมคืนอำนาจให้ประชาชน
นางธิดา กล่าวต่อว่า การเคลื่อนไหวของ นปช. ไม่ได้หมายความว่าจะเอาโลกมาบีบบังคับให้เอาประเทศไทยเป็นเมืองขึ้น ตรงข้ามคือโลกที่มีความแตกต่างให้สามารถอยู่ด้วยกันได้ ซึ่งยุทธศาสตร์นี้คือการนำสิ่งที่ก้าวหน้ากว่ามาความคิดอุดมการณ์เสรีนิยมที่ยอมรับความแตกต่างกันได้ และไม่ใช้กำลังในการแก้ปัญหา แต่ต้องใช้ความคิดในการแก้ปัญหา เรื่องนี้จะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญเช่นเดียวกับกำแพงเบอร์ลินที่กั้นระหว่างเยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก ที่มีความแข็งแรงมากแต่ก็ไม่สามารถต้านทานความต้องการของคนที่จะอยู่ร่วมกันอย่างเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพได้
“ดิฉันมั่นใจว่าคนเสื้อแดงในต่างประเทศจะมีพลังมากในการต่อต้านระบอบอำมาตย์ เพราะนี่ถือเป็นยุทธศาสตร์เปิดประเทศยอมรับการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลก ซึ่งตรงข้ามกับยุทธศาสตร์อำมาตย์ที่ปิดประตูกับประเทศไม่ยอมรับความคิดที่แตกต่างกัน และสร้างศัตรูกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งการเดินทางมาเยือนยุโรปครั้งนี้จึงต้องการเรียกร้องคนเสื้อแดงในต่างประเทศให้มาร่วมกันจัดตั้งองค์กรเป็นเครือข่าย เปิดแนวรบใหม่นอกประเทศ ซึ่งสามารถดำเนินยุทธวิธีได้อย่างมีอิสระ แต่ต้องอยู่ภายใต้หลักการ และแนวทาง นโยบายการต่อสู่ของ นปช. ส่วนกลางจากไทย” ประธาน นปช. กล่าว
ประธาน นปช. กล่าวอีกว่า การจัดตั้งองค์กรแบบนี้โดยเฉพาะในยุโรปเชื่อว่าจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าในประเทศอื่นเนื่องจากมีองค์กรต่างๆมากมายทั้งในสวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ หรือฝรั่งเศส ที่เป็นดินแดนแห่งเสรีภาพ จะทำให้คนเสื้อแดงในต่างประเทศสามารถเคลื่อนไหวฟ้องร้องประกาศให้สังคมโลกรับทราบได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ก็ยังมีบางประเทศที่ปิดกั้นการดำเนินกิจกรรมของคนเสื้อแดง เนื่องจากถูกปิดกั้นและบิดเบือนข้อมูลจากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาโดยตลอด ทำให้สื่อมวลชนในต่างประเทศถูกสั่งห้ามนำเสนอข่าว หรือการดำเนินกิจกรรมของคนเสื้อแดงในต่างประเทศ ดังนั้นจึงอยากให้สถานทูตหรือกงสุลไทยในต่างประเทศ ควรให้เสรีภาพการทำงานของคนเสื้อแดงในต่างประเทศเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่เลวร้ายสำหรับประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง ควรที่จะให้อิสระในการแสดงออกทางความคิดของกลุ่มคนเหล่านี้