"...อำมาตยาภิวัฒน์ใช้หมากตัวเดิม เช่น กลไกองค์กรอิสระ เมื่อได้อำนาจแบบการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร หลังจากนั้น จะมีการใช้กำลังในการปราบปรามประชาชนในแถวสอง..."
นับแต่วินาทีที่ "ศาลรัฐธรรมนูญ" มีมติ 7 ต่อ 1 เสียงให้ จตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) สิ้นสุดความเป็นสมาชิกภาพ ส.ส. เนื่องจากถูกคุมขังโดยหมายศาลในวันเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554
ดูเหมือนจตุพรยังไม่หลุดพ้นบ่วงกรรมเมื่อ "ศาลรัฐธรรมนูญ" ยื่นขอเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวต่อศาลอาญาในคดีก่อการร้าย
สถานการณ์ทางการเมืองในห้วงเวลานี้เริ่มทวีความตึงเครียด "รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" จะเผชิญชะตากรรมซ้ำรอยรัฐบาลพรรคพลังประชาชน (พปช.) ในอนาคตอันใกล้นี้หรือไม่
"จตุพร พรหมพันธุ์" ในฐานะขุนพลคนยืนต่อสู้อยู่แถวหน้าของคนเสื้อแดง เปิดแผนการรุกคืบทางการเมือง
สถานการณ์การเมืองในเดือนสิงหาคมนี้จะรุนแรงขึ้นหรือไม่
การประเมินสถานการณ์ต้องสื่อสารอีกฝ่ายหนึ่งที่เรียกว่า อำมาตยาธิปไตยที่เคยโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตยจนเคยตัว และกระทำในสิ่งเดิมอย่างซ้ำซาก และวิวัฒนาการไม่เคยเปลี่ยน เป็นพฤติกรรมแบบเดิมๆ ประชาชนจะเลือกพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนพรรคเพื่อไทยเมื่อถึงเวลาระยะหนึ่ง ก็จะต้องมีปรากฏการณ์โค่นล้มของการปล้นอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยการส่งคนมาลอบฆ่า ท้ายที่สุดใช้กำลังปฏิวัติรัฐประหาร เขายังรู้ว่าประชาชนยังผูกพัน พ.ต.ท.ทักษิณ ก็สร้างกติกาใหม่ 1 ประเทศ 2 ระบบ คือเป็นประชาธิปไตยเฉพาะการเลือกตั้งเท่านั้น ที่เหลือเป็นอำมาตยาธิปไตยผ่านเครือข่ายองค์กรอิสระต่างๆ ซึ่งฝังรากลึกหรือไม่ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ วางไว้ 9 ปี คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 9 ปี คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 7 ปี ส.ว. นับตั้งแต่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รวม 11 ปี วางไว้ที่ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) พวกนี้มีวาระที่มั่นคงยาวนาน และพร้อมที่จะจัดการเสียงของประชาชนได้ทุกเวลา เพราะฉะนั้นขณะนี้บรรยากาศเหมือน 19 กันยายน 2549 และดูว่าจะรุนแรงกว่าด้วยซ้ำ เพราะว่าอำมาตยาธิปไตยยังอยู่เหนือกลไกประชาธิปไตย
อำมาตย์วางกลไกผ่านเครือข่ายองค์กรอิสระและ ส.ว. อย่างไร
ประเทศเรามีการยึดอำนาจ 25 ครั้งสำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง เวลาสำเร็จเขาก็จะไม่ผูกอาฆาตพยาบาท เช่น ยึดอำนาจแล้วก็แล้วกันไป ก็ได้อำนาจไป เมื่อคืนอำนาจแล้วคนถูกยึดอำนาจก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่จะไม่มีอารมณ์ อาถรรพ์ อาฆาตเหมือนในขณะนี้ ไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอาจอยู่ถึง 100 ปี หรือมากกว่านั้น เช่นเขียนรัฐธรรมนูญ มาตรา 309 กระบวนการยึดอำนาจไม่ว่าอดีต ปัจจุบัน และอนาคตไม่สามารถเอาความผิดได้ กลไกเครือข่ายอำมาตยาธิปไตยโยงใยเหมือนเครือข่ายใยแมงมุม
ทำไมสถานการณ์กลับมาจุดนี้ทั้งที่รัฐบาลทำงานร่วมกับตัวแทนฝ่ายอำมาตย์แล้ว
นั่นเรียกว่า "รักแท้ในคืนหลอกลวง" เป็นมายาภาพที่แสดงให้เห็นว่าตัวเองมีไมตรี หวานเป็นลมขมเป็นยา สุภาษิตไทยได้บอกไว้แล้ว
ขนาด พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เชื่อว่าจะเกิดการปรองดอง
คนจำนวนมากก็เชื่อเช่นนั้นไม่ใช่เฉพาะ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าบ้านเมืองจะกลับเข้าสู่ปกติของประชาธิปไตย แต่ฝ่ายคนเสื้อแดง นปช.ก็มีการวิเคราะห์สถานการณ์ตลอดเวลา ถ้าเป็นจริงก็โชคดีของประเทศไทย ถ้าไม่เป็นจริงภาระทั้งหมดก็ตกอยู่กับคนเสื้อแดง เราจึงมีการประเมินสถานการณ์ที่เชื่อแตกต่างจากรัฐบาล วันนี้ขบวนการที่ผมบอกได้เลยขบวนการตุลาการภิวัฒน์ แต่มันเป็น "อำมาตยาภิวัฒน์" ซึ่งมันเป็นอำนาจเดิม ที่ได้วางเอาไว้ ดังนั้น จะเห็นได้ว่ากล้าทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายและองค์กรอื่นๆ ก็จะร่วมถาโถมออกมา แม้กระทั่งผู้ตรวจการแผ่นดินที่กำลังท้าทายจริยธรรมของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกรณีการแต่งตั้งนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ไม่เป็นไปตามประมวลจริยธรรมของข้าราชการการเมือง พวกนี้วางกับดักที่วินิจฉัยนายณัฐวุฒิความจริงไม่ใช่วินิจฉัยนายณัฐวุฒิ แต่เป็นการวินิจฉัยนายจตุพร เข้าใจไหมว่าคำวินิจฉัยของนายณัฐวุฒิเพื่อกันนายจตุพรตั้งแต่ต้น
คุุ้มหรือไม่สถานการณ์วันนี้หากจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรี
ผมเชื่อว่าผมเหนื่อยมากที่สุดคนหนึ่งเวลาการต่อสู้และที่ผมยกตัวอย่าง ผมเป็นนักรบในสนามรบต่อให้รบเก่งอย่างไรก็ได้รับบาดแผล เวลาเข้าแถวรับรางวัลผมจะอยู่ท้ายสุดเสมอ เพราะว่าจะมีการอธิบายว่าหน้าช้ำ ดังนั้น ที่ผ่านมาคนที่ไม่ต่อสู้จะหน้านวล หน้าแจ่มใสเพราะว่าจะไม่มีริ้วรอยใดๆ เพราะเขาไม่ได้มาร่วมต่อสู้ ผมถึงบอกว่าจุดจบนักรบอย่างผมก็มีคุก มีความตายเท่านั้น ถ้าถามเรื่องเป็นหรือไม่เป็นรัฐมนตรีหรือเปล่านั้น ผมยังไม่รู้ด้วยซ้ำ อย่างที่ผมบอกผมก็สงสัยว่าทำไมจึงต่อต้านผมมากเหลือเกิน การเมืองในความเห็นของผม ณ ขณะนี้ไม่ได้มีตำแหน่งอะไร เป็นประชาชนตกงาน แต่ประชาชนยังห่อหุ้มให้การสนับสนุนด้วยความเห็นใจ
เมื่อถามว่าเป็นหรือไม่เป็นรัฐมนตรีผมไม่มีสิทธิไปกำหนดอนาคตชีวิตตัวเองได้ แต่ตลอดการต่อสู้ช่วงที่ผ่านมาเราอยู่ในสมรภูมิได้รับบาดเจ็บทั้งกายและใจ ถ้าอีกฝ่ายมองเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นศัตรูเขาก็เห็นว่าผมเป็นก้างขวางคอชิ้นใหญ่ ดังนั้น ต้องจัดการผมเพื่อจัดการ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะผมเป็นอุปสรรค ซึ่งผมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่างฝ่ายต่างเป็นผู้รับชะตากรรม ทุกครั้งที่จะมีชื่อผมเข้าไปเป็นรัฐมนตรี ส่วนใหญ่คนอื่นเป็นคนพูดว่าจะมีตำแหน่งแห่งหนใดก็จะมีเสียงวิจารณ์ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ผมเห็นว่าผมไม่ได้เป็นสายล่อฟ้าตรงไหน อยู่ในสภาผมก็ทำหน้าที่อภิปรายแต่ละครั้งคนฟังทั้งบ้านทั้งเมือง
คนเสื้อแดงกำลังมองว่าวันนี้อำมาตย์ไม่ปรองดองแล้วใช่หรือไม่
ตราบใดไม่สร้างความยุติธรรมให้เท่ากันความรู้สึกก็ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างคดีสั่งฆ่าประชาชนกับคดีฝ่ายผู้ถูกฆ่า ฝ่ายฆ่าเวลานี้ยังไม่ถึงศาลแค่ส่งไปทำสำนวนชันสูตรพลิกศพซึ่งความจริงควรจบตั้งแต่เดือนแรก แต่ถูกถ่วงไว้ 3 ปี ในการต่อสู้ฝ่ายเราถูกดำเนินคดีตั้งแต่วันแรกทั้งที่ไม่ได้ทำความผิดอะไรเลยก็ถูกจับเป็นตัวประกันไว้ก่อน อารมณ์ของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้า ปชป. เป็นอารมณ์ที่มีเวลา แต่เนื่องจากเวลาไม่เท่ากันความยุติธรรมจึงไม่เท่ากัน การปรองดองก็เกิดขึ้นไม่ได้เพราะถ้าปรองดองเมื่อไร ประเทศสงบเป็นประชาธิปไตยเขาก็ต้องเป็นฝ่ายค้านไปตลอดชีวิต แต่บรรยากาศที่พูดใส่ร้ายคนเสื้อแดงและ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อให้อำมาตย์หลงเชื่อและอำมาตย์ก็ไปคว่ำกระดานนี้ให้ เพื่อให้ตัวเองกลับมามีอำนาจ และคดีก็ถูกดึงไว้เหมือนเดิมแล้วฝ่ายผมถูกเร่งคดีเหมือนเดิม นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยประสบกันมา สมมุติมีการคว่ำกระดาน ถ้าจะมีการฆ่าใครก่อน ผมก็จะเป็นลำดับต้นๆ ถ้าจะขังใครก่อนก็จะเริ่มขังผมก่อนลำดับแรก เพราะผมจะอยู่ในบริบทของการข่าว ผมอยู่บนเส้นด้ายทุกวัน
ประเมินโอกาสรัฐบาลยิ่งลักษณ์จะซ้ำรอยเหมือนรัฐบาลพี่ชายก่อน 19 กันยายน 2549 หรือไม่
ผมเห็นว่าการปฏิวัติรัฐประหาร ณ ขณะนี้ โดยทางการข่าวและวิเคราะห์ของคนที่วิเคราะห์มองตรงกันว่า การรัฐประหารจะเกิดขึ้นยาก เพราะทันทีที่มีการรัฐประหารก็ต้องปะทะกับคนเสื้อแดง ดังนั้น ด่านแรกของการล้มกระดาน ผมยังเชื่อว่าขณะนี้การใช้กำลังรัฐประหารไม่ใช่หนทาง แต่จะเป็นรูปแบบกระบวนการ "อำมาตยาภิวัฒน์" ใช้หมากตัวเดิม เช่น กลไกองค์กรอิสระ เมื่อได้อำนาจแบบการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และจะมีการใช้กำลังในการปราบปรามประชาชนในแถวสอง ผมว่ากองทัพก็มีบทเรียนพอสมควร แต่ถ้าใช้กองทัพเป็นด่านแรกก็จะเจอกับมวลมหาประชาชน ซึ่งคนเสื้อแดงดูแต่ละคดีที่ตาย ใน 98 ศพ เป็นความตายที่มีความผูกพันทั้งนั้น
ถ้ารัฐบาลนี้ไม่มีเสื้อแดงจบไปนานแล้ว ดูข้อเสนอของ ปชป. เวลานายสุเทพเสนอ คอป. (คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ) ให้เลิกคนเสื้อแดง เลิกหมู่บ้านเสื้อแดง คือต้องการปลดอาวุธของฝ่ายรัฐบาล ถ้าฝ่ายนี้ถูกปลดอาวุธคือคนเสื้อแดงเมื่อไร ก็ไม่มีใครรักษาเมือง สุดท้ายก็เสียเมือง ลำพังพรรคเพื่อไทยจัดการได้ แต่คนเสื้อแดงเป็นก้างขวางคอ และนายจตุพรจะต้องถูกกำจัดก่อน
ปัจจัยใดจะปลดล็อกอำมาตยาภิวัฒน์ได้
ขณะนี้ทุกฝ่ายต้องยอมรับความจริงจะอยู่ได้ด้วยภราดรภาพ ต้องปฏิบัติตามการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและต้องปฏิบัติไปตามกติกา เคารพเสียงประชาชน และอย่านำสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้เพื่อประโยชน์ตัวเองและไว้ทำลายบุคคลอื่นเพื่อให้ตัวเองเข้าสู่อำนาจ การปรองดองไม่ใช่กฎหมาย การปรองดองต้องทำให้ทุกอย่างเท่ากัน ความยุติธรรมต้องเท่ากัน เมื่อความยุติธรรมเท่ากันความรู้สึกก็จะเท่ากัน ทุกอย่างก็เข้าสู่ภาวะปกติไม่มีใครได้ใครเสีย ผมถึงให้นายณัฐวุฒิเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง เพื่อให้งดเว้นคดีสั่งฆ่าประชาชนและคดีก่อการร้าย เพราะท้ายที่สุดปรองดองเป็นมายาภาพที่คนเขียนบทคืออำมาตยาธิปไตยใช้เป็นกลลวงให้ฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำและให้ฝ่ายหนึ่งเตรียมตัวจัดการ ผมเชื่อว่าคนเขียนบทเหมือนบอกฝ่ายรัฐบาลว่าเรียบร้อยแล้ว และบอกให้ ปชป. และพันธมิตรเตรียมตัวจัดการได้เลย คือบอกให้ฝ่ายหนึ่งวางอาวุธและบอกให้ฝ่ายหนึ่งเตรียมอาวุธได้