พรรคเนวินทอดไมตรี เท 2 ล. เสียง อุ้มประชามติแก้ รธน. ฮึ่มลอยแพมัชฌิมา 30 ก.ค. ธาริตเผยผู้ใหญ่ชี้แนว 112

มติชน 20 กรกฎาคม 2555 >>>




"สดศรี" ยันประชามติต้อง 11 ล้านเสียงขึ้น ภท.เท 2 ล้านเสียงหนุน "จรัญ" ชี้ศาล รธน. แนะให้ใช้สามัญสำนึกเคาะที่เสี่ยงน้อยสุด "บิ๊กโอ๋" ชี้ผู้ตรวจฯขอหลักฐาน"มาร์ค"หนีทหาร ปัดเช็กบิลทางการเมือง "มาร์ค" เชื่อหวังช่วย "ตู่" ถูกฟ้องหมิ่น

"บิ๊กโอ๋" ชี้หลักฐานมัด

เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินทำหนังสือถึงกระทรวงกลาโหมให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาว่าหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารและปัญหาการใช้หลักฐานสมัครเป็นอาจารย์โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
(จปร.) ว่า เรื่องนี้สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินขอหลักฐานมายังกระทรวงกลาโหม โดยกระทรวงกลาโหมได้ส่งข้อมูลไปให้ตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ ได้ให้ทางกรมพระธรรมนูญไปดูรายละเอียด เพราะเรื่องนี้มีผลทางคดีมานานกว่า 20 ปีแล้ว ดังนั้น ต้องดูว่าจะทำอะไรได้บ้างต้องศึกษาในรายละเอียดและอยู่ในขั้นตอนดำเนินการรวบรวมข้อมูล

ปัดเช็กบิลทางการเมือง

   "ในเอกสารเป็นการรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เอกสารระบุไว้ค่อนข้างชัดเจนว่าเรื่องนี้มีการหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหารในยุคนั้น แต่เป็นเรื่องในอดีตที่นานแล้ว ส่วนนายอภิสิทธิ์จะมีเจตนาหนีทหารหรือไม่นั้น ต้องถามนายอภิสิทธิ์ แต่เอกสารระบุแบบนั้น ส่วนที่มองกันว่าจะเป็นตราบาปของผู้นำฝ่ายค้านในสภาที่หนีทหารนั้น คงเป็นเรื่องของนายอภิสิทธิ์เอง ทางกระทรวงกลาโหมมีหน้าที่รวบรวมข้อมูล และทางผู้ตรวจการแผ่นดินดำเนินการต่อไป ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ยืนยันมาตลอดว่าไม่ได้หนีทหารนั้น ก็มีสิทธิจะยืนยัน แต่เป็นเรื่องของหลักฐานที่เรามี การดำเนินการในครั้งนี้ไม่ได้เป็นการเช็กบิลทางการเมืองเพราะไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ผมจะมาทำเรื่องนี้ แต่เนื่องจากมีคนร้องเรียนให้กระทรวงกลาโหมส่งเอกสารไป เพราะมีกฎเกณฑ์ว่าต้องส่งให้ภายใน 30 วัน และทางกระทรวงกลาโหมส่งไปตามข้อเท็จจริง" พล.อ.อ.สุกำพล กล่าว

"มาร์ค" เชื่อหวังช่วย "ตู่"

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นความพยายามที่จะไปช่วยนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ในคดีที่ตนฟ้องร้องไว้แล้วเพื่อให้ได้มีการพิสูจน์กัน และช่วงนี้เป็นช่วงที่กำลังมีการสืบพยาน จังหวะมาตรงพอดี และพอทราบมาก่อนว่าทาง พล.อ.อ.สุกำพลถูกกำหนดให้ต้องมาพูดเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ยืนยันแล้วทุกอย่าง เพราะเอกสารต่างๆ เคยชี้แจงไปในสภาแล้ว คงไม่ต้องพูดอะไรเพิ่มเติม และไม่กังวลเพราะเรื่องอยู่ในศาลแล้ว

"ศิริโชค" เชื่อสร้างกระแส

นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรื่องนี้มีกระบวนการทางการเมือง เนื่องจากมีการปล่อยข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องมา 2-3 วันแล้ว รวมถึงทนายความของนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำคนเสื้อแดง ที่พยายามสร้างกระแสว่าวันนี้จะมีข่าวเด็ด แต่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจ เพราะสุดท้ายแล้ว พล.อ.อ.สุกำพลไม่มีอะไรออกมาแถลง เพียงแค่ยืนยันหลักฐานเดิมตามปี 2542 ที่เคยมีการตรวจสอบมาก่อนหน้าแล้ว และท่าทีของ พล.อ.อ.สุกำพลเหมือนไม่ค่อยอยากจะแถลงข่าว และได้โยนให้กับผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยอ้างว่าเอกสารทั้งหมด ได้ส่งไปที่ผู้ตรวจการแผ่นดินแล้ว

อ้าง "บิ๊กโอ๋" ถูกบังคับแถลง

   "ผมสังเกตว่าธรรมดาแล้ว พล.อ.อ.สุกำพล ต้องนั่งแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ แต่วันนี้กลับไม่ยอมนั่งแถลงข่าว แต่ยืนแถลง แสดงให้เห็นว่าเหมือนมีคนมาบังคับให้แถลง ผมตั้งข้อสังเกตว่าทั้งหมดทำไปเพื่อช่วยนายจตุพร ในคดีที่ถูกนายอภิสิทธิ์ฟ้องหมิ่นประมาท เพราะมีการแถลงข่าวในช่วงที่กำลังมีการสืบพยาน และถ้าดูจากการสืบพยาน ฝ่ายนายจตุพรดูจะเพลี่ยงพล้ำ เนื่อง จากจเรทหารได้ออกมายอมรับว่าถ้านายอภิสิทธิ์ได้ยื่น สด.9 คือใบขึ้นทะเบียนทหารและหลักฐานการผ่อนผันว่าไปเรียนต่างประเทศ ถือว่าได้เข้ารับราชการอย่างถูกต้อง ตรงนี้เป็นเหตุให้ พล.อ.อ.สุกำพล ต้องออกมาแถลงว่ามีการหนีทหาร" นายศิริโชคกล่าว พร้อมแสดงหลักฐานใบ สด.9 และทะเบียนบัญชีรายชื่อนักเรียนการที่ออกไปศึกษาต่อต่างประเทศ โดยมีรายชื่อนายอภิสิทธิ์อยู่ในลำดับที่ 3 และหนังสือ สด.41 เป็นเอกสารที่นายอภิสิทธิ์เคยนำมาชี้แจงในสภาผู้แทนราษฎร

เชื่อหวังช่วยคดี "ตู่" หมิ่น

นายศิริโชคกล่าวว่า ทั้งหมดเกิดมาจากเหตุการณ์ที่มีการตั้งกรรมการสอบเมื่อปี 2542 หลักฐาน 2 อย่างที่ต้องยื่นให้กับทางฝ่ายทหาร เพื่อที่จะสมัครเข้ารับราชการ และหนังสือ สด.9 และ สด.41 มีเลขที่ถูกต้อง หมายความว่าเมื่อเอาหนังสือดังกล่าวเข้าไปสมัครเป็นทหารสามารถที่จะสมัครเข้าเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนายร้อย จปร.ได้ หลักฐานต่างๆ มีครบถ้วนอยู่แล้ว เพียงแต่วันนี้ พล.อ.อ.สุกำพล พยายามสร้างกระแส โดยไม่มีหลักฐานเพิ่มเติม และอยากตั้งข้อสังเกตว่า มาแถลงอะไรในตอนนี้ แต่เมื่อดูเหตุการณ์ที่มีการดำเนินคดีกับนายจตุพร ชัดเจนว่าเป็นการช่วยเหลือกันอย่างเป็นขบวนการ และขอยืนยันว่านายอภิสิทธิ์พร้อมที่จะพิสูจน์ในเรื่องนี้ มิเช่นนั้นคงไม่ฟ้องหมิ่นประมาทนายจตุพร
ให้กำลังใจ-แฟนคลับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้กำลังใจนายอภิสิทธิ์ ระหว่างเข้าให้ปากคำกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กรณีรับเงินบริจาคช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยจากบริษัท อีสท์ วอเตอร์ ที่สำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการการ ถนนแจ้งวัฒนะ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม

เล็งขอเทปสัมภาษณ์ฟ้องกลับ

เมื่อถามว่า จะฟ้อง พล.อ.อ.สุกำพล หรือไม่ นายศิริโชคกล่าวว่า ได้มีการหารือกัน และขณะนี้กำลังดูถ้อย พล.อ.อ.สุกำพล ว่าเข้าข่ายที่จะสามารถดำเนินการหรือไม่ เชื่อว่าฝ่ายกฎหมายจะดำเนินการ เพียงแต่ขณะนี้วิธีการให้สัมภาษณ์ยังเหมือนกับการตั้งข้อสงสัย โยนให้ผู้ตรวจการ คิดว่าทางทนายจะไปขอเทปบันทึกคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.อ.สุกำพล มาดูอีกทีว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป เมื่อถามว่า หากพบว่ามีการพาดพิงนายอภิสิทธิ์ จะดำเนินการฟ้องร้องด้วยตัวเองหรือไม่ นายศิริโชคกล่าวว่า คงฟ้องด้วยตัวเองเพราะเป็นผู้ได้รับความเสียหาย
เมื่อถามว่า มีการระบุว่า สด.9 เป็นเอกสารปลอม นายศิริโชคกล่าวว่า เรื่อง สด.9 เป็นเอกสารที่ผู้ชายไทยทุกคนเมื่ออายุครบ 17 ปี ต้องได้รับอยู่แล้ว ส่วนจะหายหรือไม่หายไม่ได้เป็นผล เพียงแต่มีความพยายามสร้างกระแส เพราะตอนที่นายอภิสิทธิ์ไปสมัครเป็นอาจารย์ก็ยื่นใบดังกล่าว แต่ตอนที่จะขอติดยศ ทาง จปร. บอกหาใบ สด.9 ไม่เจอ นายอภิสิทธิ์จึงไปขอ สด.9 ฉบับใหม่ที่เขตพระโขนงแทนมา ก็แค่นั้น ซึ่งไม่ได้มีนัยยะอะไรที่สำคัญ

"กห." รวบรวมหลักฐาน

พล.อ.อ.ไมตรี โอสถหงส์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ได้ใช้เอกสารอันเป็นเท็จในการเข้ารับราชการทหาร ร.ร.จปร. และการหลบเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร กล่าวว่า ได้รวบรวมหลักฐานต่างๆ และนำเสนอไปยังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหมดแล้ว ส่วนรายละเอียดควรไปสอบถามจาก พล.อ.อ.สุกำพล จะดีกว่า

ผู้ตรวจการเร่งพิจารณา

ที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน นายรักษเกชา แฉ่ฉาย รองเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบตามคำร้องของนายกมล บันไดเพชร สมาชิกพรรคเพื่อไทย ที่ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณี พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพิกเฉยไม่ตรวจสอบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทุจริตใช้เอกสารหลักฐานปลอม เพื่อเข้ารับราชการเป็นอาจารย์ในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (ร.ร.จปร.) ว่าขณะนี้กำลังรวบรวมคำชี้แจงของฝ่ายผู้ที่ร้องเรียนและผู้ที่ถูกร้องเรียนที่ชี้แจงมาเรียบร้อยแล้วเพื่อพิจารณาว่าต้องการเรียกมาชี้แจงเพิ่มเติมหรือไม่ และนำสู่ที่ประชุมของผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อพิจารณาต่อไป ยืนยันว่ากำลังเร่งพิจารณาเพราะเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน

"กมล" ชี้ 3 ข้อกรณีกล่าวหาหนีทหาร

ด้านนายกมลกล่าวว่า ได้รับหนังสือตอบรับจากเจ้ากรมเสมียนตรา กระทรวงกลาโหม ถึงกรณีดังกล่าว โดยสรุปว่ามีมูลความจริง 3 ข้อ ดังนี้
1. เรื่องการเข้าตรวจเลือกทหาร
2. เรื่องการใช้เอกสารการเข้ารับราชการทหารเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายร้อย จปร. และ
3. การใช้เอกสารสำคัญหรือ สด.9 จนได้รับการแต่งตั้งเป็นว่าที่ร้อยตรี
การแต่งตั้งนายอภิสิทธิ์เป็นข้าราชการพลเรือนกระทรวงกลาโหม ถือเป็นคำสั่งทางปกครอง และจะต้องมีการดำเนินการเพิกถอนคำสั่ง หากมีการเพิกถอนคำสั่งทางปกครองแล้ว มีสิทธิเรียกคืนเงินจากนายอภิสิทธิ์ที่เคยได้รับจากกระทรวงกลาโหมระหว่างที่เป็นข้าราชการด้วย

"มาร์ค" ค้านใช้ รธน. ปี 17

สำหรับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญภายหลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยร่างแก้ไขไม่เป็นการล้มล้างการปกครองแต่หากจะแก้ไขทั้งฉบับต้องทำประชามติหรือไม่ก็ให้แก้ไขเป็นรายมาตรานั้นนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าที่พยายามจะรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เป้าหมายสุดท้ายกลับมาอยู่ในเรื่องที่จะมีผลต่อคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ เท่ากับเป็นการยอมรับ และเป็นการสารภาพว่านี่คือเป้าหมายที่แท้จริง เพราะฉะนั้น ต้องช่วยกันติดตามต่อไป เมื่อถามถึงกรณีที่นายอุกฤษ มงคลนาวิน อดีตประธานรัฐสภา ออกมาเสนอให้เลือกรัฐธรรมนูญปี 2517 และรัฐธรรมนูญ ปี 2540 นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เวลานี้ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนที่สมบูรณ์ รัฐธรรมนูญปี 2517 สมัยนั้นถือว่าก้าวหน้ามาก สุดท้ายแนวคิดแบบปี 2517 ถูกปรับปรุงโดยรัฐธรรมนูญปี 2540 เพราะรัฐธรรมนูญปี 2540 ไม่ต้องการให้อำนาจทั้งหลายอยู่เฉพาะในมือของสภาหรือนักการเมือง รัฐธรรมนูญ ปี 2517 มีความก้าวหน้ามาก เพราะก่อนหน้านั้นไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ แต่พอใช้รูปแบบคล้าย 2517 ต่อเนื่องมา คนก็มองเห็นว่า ไม่เพียงพอ ต้องมีองค์กรขึ้นมาคานอำนาจการใช้อำนาจนักการเมือง จึงเป็นที่มาของรัฐธรรมนูญปี 2540 และถ้าจะย้อนไป ปี 2517 ก็เท่ากับปฏิเสธหลักการของการตรวจสอบถ่วงดุล ซึ่งเป็นประสบการณ์ที่เราผ่านมาแล้ว

"จุรินทร์" ขวางประชุมร่วม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน (วิปฝ่ายค้าน) ได้โพสต์ข้อความลงบนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ไม่เห็นด้วยกับการกดดันให้มีการเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อให้ลงมติว่ารัฐสภาต้องฟังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะเท่ากับเอารัฐสภาเป็นเครื่องมือลบล้างคำวินิจฉัยศาลและเท่ากับเปิดทางให้เสียงข้างมากลากเอาสถาบันนิติบัญญัติไปขัดแย้งกับสถาบันตุลาการ ทางออกที่ดีที่สุดคือรัฐบาลในฐานะฝ่ายบริหารต้องเป็นตัวอย่างในการเคารพกฎหมายและคำวินิจฉัยของศาล

"สดศรี" เผยต้อง 11 ล้าน

ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมืองและการออกเสียงประชามติ กล่าวว่า การออกเสียงประชามติเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 165 (1) ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ. 2552 มาตรา 9 (1) ว่าด้วยเป็นเรื่องที่มีผลกระทบต่อประเทศชาติและประชาชน ซึ่งเสียงการออกเสียงประชามติที่เป็นข้อยุติมี 2 ชั้นคือ ชั้นแรกต้องมีเสียงที่มาลงคะแนนประชามติต้องเป็นเสียงข้างมากของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และชั้นที่สอง ต้องมีคะแนนเสียงที่ลงมติเห็นด้วยเกินครึ่งของผู้มาใช้สิทธิการลงประชามติจึงจะถือว่าผ่าน
   "ตามประกาศสำนักทะเบียนกลาง กรมการปกครองเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2554 มีจำนวนผู้มีใช้สิทธิเลือกตั้ง 47,876,671 คน ซึ่งหากเป็นไปตามจำนวนนี้เสียงข้างมากจะต้องมี 23,938,336.5 คน ดังนั้น เสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิคือ 11,969,169.25 คน ซึ่งจะมีเกณฑ์การตัดสินที่เข้มข้นกว่าการออกเสียงประชามติเมื่อครั้งรับร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ตามรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว พ.ศ.2549 ที่ใช้เกณฑ์ของเสียงข้างมากของผู้ออกมาใช้สิทธิเท่านั้น" นางสดศรี กล่าว
นางสดศรีกล่าวถึงกรณีที่นายโภคิน พลกุล อดีตประธานรัฐสภา เสนอให้แก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 309 ว่า หากต้องการที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 309 ควรจะต้องมีการออกเสียงประชามติถามประชาชนก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่เพราะประชาชนจะได้ทราบว่ามีผลกระทบอย่างไร เนื่องจากมีผลกระทบกับหลายส่วน

2 ล้านเสียง ภท. เทประชามติ

รายงานข่าวจากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 กรกฎาคม นายเนวิน ชิดชอบ และนายอนุทิน ชาญวีรกูล แกนนำคนสำคัญ ภท. จะเรียกประชุม ส.ส. ในสังกัด 27 คน โดยไม่เชิญ ส.ส. อีก 7 คน ของกลุ่มมัชฌิมา เข้าร่วมประชุมด้วย การเรียกประชุมดังกล่าวนี้ เป็นผลจากการที่แกนนำพรรคทราบว่ามีการเคลื่อนไหวจากบางกลุ่มในพรรค เพื่อต่อรองขอเข้าร่วมรัฐบาล และ ภท. ต้องการให้เห็นว่าทางพรรคไม่ได้เกี่ยวข้องและไม่ต้องการให้มีการอ้างชื่อพรรคจึงตัดกลุ่มมัชฌิมาออกไป
ข่าวแจ้งว่า ทาง ภท. ยังต้องการส่งสัญญาณไปยังพรรคเพื่อไทยว่า พรรคมีคะแนนเสียง 2 ล้านเสียง ซึ่งจะมีผลมากในการลงประชามติ หาก ภท. เห็นว่ารัฐธรรมนูญมีหลักการที่ถูกต้องก็เชื่อว่าฐานคะแนน 2 ล้านเสียง พร้อมจะสนับสนุนการแก้ไขหรือยกร่างรัฐธรรมนูญ
อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวดังกล่าวในการแสดงความชัดเจนว่า ภท. ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มที่เคลื่อนไหวต่อรองร่วมรัฐบาล แกนนำ ภท. ไม่สามารถที่จะเปิดตัวยืนยันได้เนื่องจากเกรงไม่เหมาะสม และจะทำให้ถูกมองเป็นความขัดแย้งภายในพรรค

"เสี่ยหนู" ยันไม่มีการต่อรอง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล แกนนำพรรค ภท. กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง แต่ยอมรับว่ามีการนัดเรียกประชุม ส.ส. จริง เพราะที่่ผ่านมาพรรคไม่ได้มีการประชุม ส.ส. มานานแล้ว และขณะนี้ใกล้เปิดประชุมสภา จึงมีการเรียกประชุมก่อนเปิดสภา และยืนยันว่าไม่มีแนวคิดในการต่อรองกับพรรคเพื่อไทยใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ได้มีความขัดแย้งกับทางกลุ่มของนายสมศักดิ์  เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิชา เพราะล่าสุดตนกับนางพรทิวา นาคาศัย เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ยังเดินทางไปที่ประเทศญี่ปุ่นด้วยกันอยู่เลย

"จรัญ" ชี้ศาล รธน. แนะนำ

นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ "มติชน" ถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาเป็นเพียงคำแนะนำให้ทำประชามติหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับว่า ตนได้ฟังคำวินิจฉัยขององค์คณะตุลาการทั้ง 8 คน ยังได้แนะนำในฐานะที่จะแนะนำได้ 100% ในฐานะเป็นตุลาการของประเทศ ย่อมแนะนำคู่กรณีที่พิพาทกันต่อหน้าศาลได้ ซึ่งเป็นสถานะของตุลาการที่จะมาระงับข้อพิพาทในบ้านเมือง นอกจากชี้ถูกชี้ผิดยังมีความชอบธรรมแล้วก็ควรให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่คู่กรณีที่พิพาทกันได้ ส่วนจะนำไปปฏิบัติหรือไม่นั้นก็อยู่ที่ความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล หากสมมุติตนมีความคิดไม่รับฟังคำแนะนำของใครจะทำตามที่ตนคิด ตนก็รับผิดชอบในความคิดและการกระทำของตน ซึ่งอาจจะถูกและให้ผลดีที่สุดแก่ประเทศนี้ก็ได้ แต่ถ้าเกิดผิดพลาดสร้างความเสียหายให้แก่สังคมตนก็จะต้องรับผิดชอบ เพราะได้มีการเตือนแล้ว

แนะใช้สามัญสำนึก

เมื่อถามว่าคำแนะนำที่ออกมาทำให้รัฐสภาไม่สามารถที่จะปฏิบัติไปทางไหนได้จึงต้องขอความชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญ นายจรัญกล่าวว่า เด็กนักเรียน นักศึกษายังรู้ว่าต้องทำอย่างไร แต่ทำไมผู้ใหญ่ในบ้านเมืองถึงไม่รู้ไม่เข้าใจ ตนไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่ตนมองในแง่ทุกคนในสังคมเสรีประชาธิปไตยมีสิทธิที่จะคิดและเลือกตามทรรศนะตัวเองได้ แต่ขอให้ใช้สามัญสำนึกว่าที่เหมาะที่ควรจะเป็นอย่างไร คำแนะนำฟังแล้วไม่ต้องมาคิดเลยได้ แต่ต้องใช้สามัญสำนึกว่าที่ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด เสี่ยงภัยน้อยที่สุด และเหมาะสมที่สุดแก่ประเทศชาติและประชาชนควรจะทำอย่างไร ไม่เห็นจะยาก

ยันแก้ทั้งฉบับต้องประชามติ

เมื่อถามว่า แสดงว่าเมื่อรัฐธรรมนูญ 2550 มีการทำประชามติมาแล้วถ้าจะมีการยกเลิกรัฐธรรมนูญนี้ก็น่าจะต้องมีการทำประชามติก่อน นายจรัญกล่าวว่า ฟังคำแนะนำของศาลในประเด็นที่ 2 จะแนะนำไว้ 2 ทาง ถ้าจะแก้ไขเพิ่มเติมตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ไม่ใช่ให้ยกเลิก ให้แก้ไขเพิ่มเติมในรายประเด็นรายข้อก็เหมาะสม แต่ถ้าจะยกเลิกรัฐธรรมนูญแล้วร่างใหม่ทั้งฉบับก็ไม่ใช่การแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 291 แล้วก็ควรจะต้องทำประชามติ เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้ตั้งฐานความคิดอยู่ที่ว่าอำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญ ไม่ใช่แค่แก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ
   "อำนาจในการสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่เป็นของปวงชนชาวไทย เป็นองค์กรที่รัฐธรรมนูญของประชาชนจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย คุณเกิดมาจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แต่คุณ (ส.ส. และ ส.ว.) จะยกเลิกรัฐธรรมนูญและสร้างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ควรฟังเจ้าของอำนาจที่แท้จริงไหม ซึ่งเป็นการมองในเชิงอำนาจ" นายจรัญ กล่าว

"เฉลิม" เซ็งข่าวคั่ว "มท.1"

ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่อาจไปนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ว่า เป็นเพียงข่าวลือที่ต้องการให้ตนคลางแคลงใจกับนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นไปไม่ได้ คนตัดสินใจคือ นายกรัฐมนตรี ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมาผลงานของกระทรวงมหาดไทยในความดูแลของนายยงยุทธไม่โดดเด่นเท่าที่ควร ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า "มาถามผมแบบนี้ได้อย่างไร เดี๋ยวหัวหน้าพรรคดุเอา" เมื่อถามว่า ในอดีต ร.ต.อ.เฉลิม เคยพูดไว้เองว่า ตัวเองเหมาะสมกับงานในกระทรวงมหาดไทย รองนายกฯตอบว่า เคยเป็นมาแล้ว ตอนนี้ไม่สนใจแล้ว

"เพรียวพันธ์" เหมาะรองนายกฯ

ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ส่วนกระแสข่าวการที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. อาจจะเข้ามาเป็นรองนายกฯดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) และการปราบปรามยาเสพติดถือว่าเหมาะสม พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ถนัดงานนี้มากกว่าตนเองเสียอีก เพราะปรามยาเสพติดมาทั้งชีวิต มีความชำนาญ เป็นคนดีมีความรู้ซื่อสัตย์ และเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่ข้าราชการให้ความเคารพนับถือ