สุเทพ เทือกสุบรรณ: พร้อมสู้จนติดคุก

โพสท์ทูเดย์ 16 มิถุนายน 2555 >>>




เปิดเกมสู้ "นอกรูปแบบ" คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญและร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ของพรรค "ประชาธิปัตย์" กลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของพรรคเก่าแก่ 66 ปี ซึ่งยังไม่รู้ว่า "ผลสุดท้ายจะออกมาอย่างไร" ทว่า "สุเทพ เทือกสุบรรณ"เปิดใจกับภารกิจครั้งนี้ ในวันที่ไร้ตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและไร้ตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคเหลือเพียงแค่สถานะ ส.ส.สุราษฎร์ธานี
ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์มีอุดมการณ์แน่วแน่จะต่อสู้ในระบบรัฐสภา เมื่อไหร่มีเสียงข้างน้อยเราก็เป็นฝ่ายค้าน ทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง เราแพ้เป็นประจำ แต่การพ่ายแพ้ทางการเมืองไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพรรคประชาธิปัตย์ เรารับได้ และหวังว่าประชาชนเข้าใจเราและหันมาสนับสนุนเราอีกในวันข้างหน้า เราแพ้เราไม่เคยก่อกวนรัฐบาล ทำงานในฐานะฝ่ายค้าน ไม่เกเร
แต่การเมืองวันนี้ไม่เหมือนในอดีต มีความพยายามของนักการเมือง ของกลุ่มการเมืองที่ต้องการเข้ามายึดอำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จซึ่งตรงกันข้ามกับความเชื่อของเราที่ต้องการให้ประเทศของเราปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เป็นประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาที่บริสุทธิ์
   "ไม่ได้โกรธ ไม่ได้รังเกียจ คุณทักษิณ ชินวัตรเขาอาจมีประสบการณ์ในการทำธุรกิจผูกขาด เป็นมหาเศรษฐีได้อย่างรวดเร็ว หากเขาทำการเมืองให้มีอำนาจได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ตัดสินใจอะไรได้รวดเร็วอาจทำให้เขาพอใจ แต่เราไม่พอใจ เพราะการเมืองเป็นเรื่องการมีส่วนร่วมของทุกฝ่ายรัฐบาลต้องตรวจสอบได้จากประชาชน จากองค์กรต่างๆและต้องมีการถ่วงดุลอำนาจ เราไม่ไว้ใจอำนาจเบ็ดเสร็จ"
สุเทพ บอกว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายกับการตัดสินใจเบนเข็มเปลี่ยนเส้นทางที่ "ประชาธิปัตย์" ยึดมั่นมาตลอด 66 ปี กับการทำงานผ่านกลไก "ในสภา" มาเป็นการเคลื่อนไหว "นอกสภา" เมื่อเสียงในฐานะฝ่ายค้าน 160 เสียง เวลานี้ไม่เพียงพอที่จะไปทัดทาน "เสียงข้างมาก"
สุเทพ ยอมรับว่า เรื่องนี้พรรคประชาธิปัตย์คุยกันนานมาก คุยกันมาหลายเดือน ก่อนการตัดสินใจ เราต้องการทำการเมืองในระบบรัฐสภาที่บริสุทธิ์ เป็นอุดมการณ์ของพรรค ดังนั้นเมื่อตัดสินใจออกมาทำการเมืองข้างนอกร่วมกับประชาชน สมาชิกพรรคบางส่วนไม่เห็นด้วยและอึดอัดใจ แต่เมื่อสถานการณ์ของประเทศเลวร้ายมากยิ่งขึ้นตามลำดับ ก็ตัดสินใจร่วมกันว่าต้องออกไปหาประชาชน
   "ถ้าปล่อยให้ผ่านไปประเทศเสียหาย ผมประกาศแล้ว ผมพร้อมติดคุก ผมจะสู้ทุกวิถีทางของผม แต่พรรคก็จะทำในกรอบที่กฎหมายอนุญาต แต่ผมและเพื่อนๆบางส่วนเห็นว่าจำเป็น เพราะไม่ต้องการให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานอยู่ภายใต้เผด็จการในโฉมหน้าใหม่ ผมไม่ยอม เรื่องนี้เราจำเป็นต้องแลกกัน
แต่ไม่ใช่เรื่องของการเอาแพ้หรือชนะตรงนี้เป็นการปกป้องชาติ ปกป้องแผ่นดิน และอยากให้เข้าใจว่าการเคลื่อนไหวของเราไม่ต้องการล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งแล้วยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะเป็นนายกรัฐมนตรีครบ 4 ปี หรือมาอีกสมัยถ้าเขาชนะเราไม่อิจฉาตาร้อนอะไรเลย ยิ่งลักษณ์ไปทำงานที่ไหน เราไม่ขัดขวางหรือหาคนไปชูป้ายด่า ต่างกับที่พวกพรรคเพื่อไทยทำกับเราขัดขวางทุกๆ ทางเพราะเราไม่คิดล้มรัฐบาล"
อย่างไรก็ตาม งานการตรวจสอบในกระบวนการรัฐสภา เช่น อภิปรายไม่ไว้วางใจ ยื่นกระทู้ก็จะยังทำไปตามการเมืองในระบบรัฐสภา แต่กระบวนการที่เสนอกฎหมายที่จะผูกขาดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อันนี้เราจะสู้ทั้งในรัฐสภาและนอกสภาต้องแยกให้ชัด
   "ถ้าเขาหยุดเรื่องปรองดองไม่แก้รัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนโครงสร้างประเทศผมก็หยุดไม่มีการเคลื่อนไหวเขาก็เป็นรัฐบาลต่อไป"
ส่วนที่หลายคนเป็นห่วงกันว่า การเคลื่อนไหวนอกสภาระลอกนี้ของประชาธิปัตย์ จะนำไปสู่"ความรุนแรง" หรือไม่ สุเทพ ยืนยันว่า เราไม่ทำแน่เขาเป็นรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง เคยเห็นความทุเรศอัปลักษณ์ที่พวกนั้นทำกับบ้านเมืองมาแล้ว พวกนั้นมีกำลังติดอาวุธ มาฆ่าเจ้าหน้าที่ มาฆ่าประชาชนที่บริสุทธิ์ มาเผาบ้านเมือง สร้างความย่อยยับให้กับประเทศ
   "ผมรังเกียจ ผมไม่ทำอย่างนั้นแน่นอน" สุเทพ ยกตัวอย่างอธิบายถึงรูปแบบการต่อสู้นอกจากการตั้งเวทีให้ความรู้ว่ามีอีกหลายวิธี เช่น อาจปลุกระดมประชาชนไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในทุกเรื่องหรือขอความร่วมมือกับข้าราชการให้ปล่อยเกียร์ว่าง หากรัฐบาลไม่หยุดพฤติกรรมที่ลุอำนาจ แต่ผมไม่ทำในแบบที่เขาทำ คือ ก่อการจลาจล เผาบ้านเผาเมืองอย่างแน่นอน แต่การเคลื่อนไหวของเราก็ต้องมีน้ำหนักที่จะหยุดยั้งพฤติกรรมของพวกเขาให้ได้
อดีตรองนายกรัฐมนตรีความมั่นคง ยังมีความเชื่อว่ายังมีกลุ่มอดีตพรรคคอมมิวนิสต์เก่าที่เคลื่อนไหวคู่ขนานที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการเมืองไทยเป็นระบบสาธารณรัฐ มีพรรคการเมืองพรรคเดียวปกครองประเทศ ต้องการสถาปนารัฐไทยใหม่ ความคิดนี้อาจสอดคล้องกับแนวคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะด้วยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม แต่คนสองกลุ่มนี้จับมือกันจนกลายเป็นภัยคุกคามคนไทยและคุกคามประเทศไทยเพราะประชาธิปไตยที่เขาพูดอาจเป็นประชาธิปไตยคนละแบบกับพวกเรา
   "การพูดเรื่องการโค่นล้มอำมาตย์หรือเครือข่ายอำมาตย์ก็ตาม ผมถือว่าเป็นการประกาศสงครามชนชั้นเอาชนชั้นล่างมาโค่นล้มชนชั้นสูง นี้คือสงครามชนชั้น"

เดิมพันสู้นอกสภา

สุเทพ มองว่า ทิศทางการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ พอจะเดาทางได้ว่า เขาต้องการให้มีนายกรัฐมนตรีที่มาจากรัฐธรรมนูญใหม่ มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด คุมทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติตุลาการ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครองประเทศ
ที่ผ่านมาอำนาจตุลาการเป็นอิสระ แต่ในร่างบางร่างของพวกเขากำหนดให้ประธานศาลฎีกาได้รับความเห็นชอบโดยรัฐสภา นั่นเท่ากับเขาแต่งตั้งประธานศาลฎีกาได้เลย เพราะเขาเป็นเสียงข้างมาก องค์การอิสระถูกรื้อแน่ ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง อาจไม่มีในรัฐธรรมนูญใหม่ก็ได้ หากเป็นเช่นนี้ประชาชนจะสูญเสียองค์กรที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน
ประเด็นต่อมา คือ กฎหมายปรองดอง ซึ่งพรรคตัดสินใจยากมากเพราะชื่อดีแต่เมื่อศึกษาแล้วกลับไม่เป็นการปรองดอง แต่เป็นกฎหมายล้างผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และเครือข่ายทำลายนิติรัฐ ทำลายนิติธรรม ทำลายระบบกฎหมายของประเทศ ยกเลิกคำพิพากษา เป็นการล้างอำนาจศาล ซึ่งอันตรายมาก วันข้างหน้าใครมีเสียงข้างมาก ใครเป็นผู้ชนะก็ใช้อำนาจออกกฎหมายยกเลิกความผิดได้หมด
   "พรรคประชาธิปัตย์ก็มาคิดว่า หากปล่อยผ่านไปจะเป็นอันตรายกับประเทศ เราจะต่อสู้ในรูปแบบอย่างเดิม 160 คนในรัฐสภาไม่มีทางยับยั้งสิ่งเป็นอันตรายกับประเทศได้ มีทางเดียวที่ต้องตัดสินใจออกไปพบกับเจ้าของประเทศ เพื่อชี้แจงทำความเข้าใจ เอาข้อเท็จจริงไปเผยแพร่ ให้เขารู้ มีความเข้าใจประชาชนจำนวนมากยังไม่เข้าใจ เราตัดสินใจเปิดเวทีประชาชนเพื่อให้ข้อมูลเราเรียกประชาชนให้ลุกขึ้นมาสู้ เราสู้ไม่ได้แล้วเขาใช้เสียงข้างมากลากไป ไม่คำนึงถึงความถูกต้องและความมีเหตุผล"
สุเทพ อธิบาย เสียงข้างมากในสภา ไม่มีเหตุผล ไม่คำนึงถึงความถูกต้องแล้ว ทุกครั้งที่ประชุมประธานก็บอกว่าคำวินิจฉัยเด็ดขาดถูกต้องแล้ว "ถ้าวันหนึ่งประธานรัฐสภาวินิจฉัยว่าผมเป็นหมา ผมก็ต้องยอมรับหรือ นี้คืออันตรายของเสียงข้างมากที่ไม่คำนึงถึงความถูกต้องและไม่ยอมรับฟังเหตุผลอะไรเลย"
อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์สารภาพตรงๆ ว่า ไม่มั่นใจว่าจะได้รับชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ก็ต้องสู้ เพราะเป็นหน้าที่จะนั่งงอมืองอเท้าให้เขากดขี่ เราก็ยอมไม่ได้ เราจะเป็นจะตายก็ช่างมัน แต่เรามีความสุขแล้วที่ได้ต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง เชื่อประชาชนที่รักเสรีภาพ รักประชาธิปไตย ไม่มีวันยอมแน่ ความเชื่อมั่นมีแค่นี้แต่ไม่ลดละในการต่อสู้
ถามถึงแนวร่วมต่างๆ ที่จะต้องสู้กับประชาธิปัตย์วันนี้ อย่าง "สนธิ ลิ้มทองกุล" แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมีการพูดคุยกันหรือยัง สุเทพ ตอบสั้นๆ ว่า "ยัง แต่พร้อมที่จะคุย ซึ่งต้องร่วมมือกับทุกฝ่าย"
สุเทพ อธิบายถึงจุดยืนเรื่องปรองดองว่าต้องถอยกลับสู่สถานการณ์ก่อนปี 2544 ใครต้องการเข้ามายึดครองอำนาจรัฐต้องเข้ามาตามระบบ ตั้งพรรคการเมือง ลงสมัครเลือกตั้งทำการเมืองให้บริสุทธิ์ สู้กันตามนั้น ใครแพ้ชนะว่ากันไป เลิกการจัดตั้งหมู่บ้านเสื้อแดงกองกำลังติดอาวุธทั้งหลาย เลิกใช้อิทธิพลในการครอบงำข้าราชการ แทรกแซงศาลองค์การอิสระ สู่ภาวะปกติ กฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ใครผิดใครถูกก็ว่ากันตามกฎหมาย
   "ส่วนคดีที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2552-2533 ต้องเดิน ไม่ต้องมาล้างผิด ที่เขาจะดำเนินคดีกับผมก็ให้ดำเนินคดี ผมจะได้พิสูจน์ตัวในกระบวนการยุติธรรม เพราะผมมั่นใจว่าผมตัดสินใจที่ต้องการรักษาบ้านเมือง แต่ถ้ากฎหมายว่าที่ผมทำเป็นความผิด ผมก็ยอมรับต่อคำตัดสินของศาล ไม่มีปัญหา ไม่ต้องมานิรโทษกรรม ไม่ต้องมาลบล้างความผิด ผมเชื่อมั่นในระบบยุติธรรม"
ส่วนที่คนมองว่าความขัดแย้งวันนี้เป็นเรื่องระหว่าง "ประชาธิปัตย์" และ "เพื่อไทย"นั้นสุเทพ ย้ำว่า เป็นการเข้าใจผิด วันนี้ไม่ใช่การต่อสู้ระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยวันนี้เป็นการต่อสู้ระหว่างลัทธิแดงบวกกับเผด็จการของทุนนิยม ที่คนเรียกว่าทุนสามานย์ หรือเผด็จการทุนทักษิณบ้าง ซึ่งคุกคามประเทศไทย ขัดแย้งกับรัฐไทยทั้งประเทศแต่คนไทยทั้งประเทศไม่รู้ตัว
ดังนั้น ขั้นตอนการเคลื่อนไหวต่อจากนี้ช่วง 2 สัปดาห์นี้ยังอยู่ในกรุงเทพฯ แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ส่วนเวทีต่างจังหวัด จะเดินหน้าไปเรื่อยๆรวมทั้งในภาคอีสาน เราก็เลือกในจังหวัดที่มีพื้นฐานที่มีเสียงประชาธิปัตย์มีความปลอดภัย เราก็ต้องดูสถานการณ์ เราก็หวังว่าสักวันหนึ่งคนเสื้อแดงที่รู้ความจริงอาจเปลี่ยนใจมาร่วมกับเราก็ได้

กูไม่กลัวมึง ! 'นี่มันระบอบทักษิณ...'

"สุเทพ เทือกสุบรรณ" อดีตรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ในฐานะเคยกำกับดูแลกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ฟันธง "สาเหตุ" ที่ทำให้องค์กรนี้มีท่าที "เปลี่ยนไป" "ธรรมชาติของระบอบทักษิณ พอเข้ามาก็จะมีอิทธิพลครอบงำข้าราชการ ส่วนราชการทั้งหลาย องค์กรต่างๆ ก็จะต้องเข้ามารับใช้ กรมสอบสวนคดีพิเศษก็เหมือนกัน ผมได้แสดงจุดยืนให้เห็นชัดแล้วว่า แม้ส่วนตัวจะรักชอบคุณธาริตเพ็งดิษฐ์ (อธิบดีดีเอสไอ) แต่เมื่อคุณธาริตไปรับใช้ระบอบทักษิณด้วยวิธีการที่ผิด เช่น ทำให้ผมเข้าใจว่าเป็นการเบี้ยวคดี พูดง่ายๆ เรื่องที่ควรจะสั่งฟ้อง ไม่สั่งฟ้อง ผมก็จะดำเนินคดีกับคุณธาริตและเจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เกี่ยวข้องและจะทำต่อไปเพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่างถ้าเมื่อไหร่คุณเข้าไปรับใช้ในวิธีที่ผิด คุณก็จะเจอวิธีการตอบโต้อย่างนี้"
สุเทพ อธิบายว่า เวลานี้จับจ้องไปที่หลายคดีที่ดีเอสไอซึ่งเคยทำท่าจะฟ้องแต่ดูเหมือนจะไม่ฟ้อง ทั้งที่ "ข้อมูลเหมือนเดิม แต่ดุลพินิจเปลี่ยน"และเป็นเหตุให้ต้องไปร้องคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้สอบสวน "ธาริต" และรองอธิบดีดีเอสไอ เจ้าหน้าที่สอบสวน
   "ตอนนี้เรื่องไหนที่ชัดเจนแล้วยื่นเรื่องได้ก็ทำเลย แต่อะไรที่ไม่ชัดก็จำเป็นต้องอดทน ซึ่งยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่โกรธเคืองส่วนตัวแต่ไม่พอใจที่ทำกับชาติเรา กับประเทศเราอย่างนี้ เขามีหน้าที่ แต่การที่เขาสั่งไม่ฟ้องคนบางคน เรารู้สึกว่าอย่างนี้เขาทรยศต่อประเทศชาติ ต่อแผ่นดิน เราก็ต้องดำเนินการ"
หลังพ้นจากเก้าอี้รองนายกฯ "สุเทพ" กลายเป็นฝ่ายที่ถูกไล่บี้อย่างหนักในประเด็นเรื่อง "ที่ดินเขาแพง" กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาสอบสวน
   "เขาแพงนี้เขาตั้งป้อมมานานแล้ว ตั้งแต่หลายปีแล้ว เดิมทีก็ตั้งรับ แต่ว่าในที่สุดเมื่อเห็นว่าข่มเหงรังแกมากขึ้นก็สู้เขา สส.ที่ใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะเป็น ส.ส. เป็นกรรมาธิการบ้าง ทำให้ลูกชายผมเสียหาย เพราะเขาเป็นเจ้าของที่ดินและไม่ใช่นักการเมือง ลูกชายผมก็ฟ้องดำเนินคดีต่อศาล ตอนนี้พิจารณาสอบพยานโจทก์เสร็จแล้ว"
ส่วนการที่ "ดีเอสไอ" จะรับคดีนี้เป็นคดีพิเศษก็ไม่เป็นไร ให้เขาทำต่อไป แล้วรอดูว่าจะตั้งข้อหาอะไร ถ้าดีเอสไอทำผิด ก็ฟ้องดีเอสไอเราก็สู้อย่างนี้
1. ที่ดินตรงนั้นไม่ได้เป็นป่าสงวนนี่คือเจ้าของที่ดิน เพราะเจ้าของที่ดินโดยรอบที่ของลูกผมออกเอกสารสิทธิทุกคน
2. ไม่ใช่ที่สาธารณสมบัติ สงวนไว้ใช้เพื่อประชาชนร่วมกันไม่มีแน่นอน
3. การออกเอกสารสิทธิถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง
4. เวลาลูกผมเป็นเจ้าของที่ดิน ก็ไม่ใช่เป็นคนไปบุกรุกแผ้วถาง แต่ไปซื้อที่คนอื่นมีเอกสารสิทธิอยู่แล้ว มีจุดเดียวเท่านั้นที่เขาพูดฟังดูมีเหตุผลคือ ตอนลูกผมซื้อเป็น น.ส.3 พอออกเป็นโฉนด เนื้อที่ 5-6 แปลงติดกัน บางแปลงน้อยกว่าเดิม บางแปลงมากกว่าเดิม แต่เขาเอาเฉพาะส่วนที่มากมาพูดว่าพื้นที่งอกขึ้น ทั้งที่ไปดูเถอะพื้นที่ในประเทศไทยจาก ส.ค.1 เป็น น.ส.3 จาก น.ส.3 เป็นโฉนด มีเพิ่มมีลดเป็นปกติ
ทุกวันนี้ทั้งสุเทพ ภรรยา และลูก ตกเป็นเป้าที่ดีเอสไอเข้ามาสอบสวนแทบทุกกระเบียดนิ้ว
   "มันจะทำอะไรผมอีก ผมไม่ต้องกลัวก็ได้ดีเอสไอมาสอบหมดแล้ว ภาษีตรวจบัญชีแบงก์ผมหมด แม้แต่บัตรเครดิต แต่กูไม่กลัวมึง กูอยู่ในป่าช้า กูจะไปกลัวอะไร ก็ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะมานั่งวิปัสสนาในป่าช้าแห่งนี้ ผีหลอกจะไปกลัวอะไร ครอบครัวโดน ผมไม่ร้องแรกแหกกระเชอ ครอบครัวผมไม่ทำธุรกิจผิดกฎหมายลูกเมียผมไม่มีเรื่องนี้ไม่มีขายหวย เปิดบ่อนไม่มีอะไรต้องกังวลใจ เชิญ"
มรสุมรุมเร้ากับศึกระลอกใหม่ที่ "สุเทพ" เปิดหน้าแลกหมัดทุ่มหมดตัวเวลานี้ เจ้าตัวยอมรับว่าจะไม่เครียดก็คงไม่ได้ บางเรื่องก็เครียดมีผลต่อสุขภาพบ้าง แต่ลูกเต้าทุกคนเข้าใจ การต่อสู้ที่เคยคิดว่าอาจจะต้องสู้คนเดียว แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้โดดเดี่ยว เพื่อนฝูงแนวร่วมเยอะแพ้ชนะไม่รู้ แต่มีกำลังใจขึ้นว่าเราได้เดินในทิศทางที่ถูกต้อง
   "แต่ผมโชคดีครอบครัวซัพพอร์ต เหมือนที่ภรรยาผมพูดเมื่อวันก่อนว่าเรื่องนี้สู้เต็มที่เลยพี่อย่างมากก็ติดคุก เดี๋ยวส่งข้าวห่อทุกมื้อ ผมก็นึกหัวเราะว่า ภรรยากะจะให้ผมย้ายที่อยู่เลยเหรอ" สุเทพ กล่าวพร้อมหัวเราะทิ้งท้ายการสนทนา