'เฉลิม' ท้า 'สุเทพ' เปิดชื่อ '2 สตรี-1 บุรุษ'

คมชัดลึก 19 มิถุนายน 2555 >>>




'เฉลิม' ท้า 'สุเทพ' แน่จริงเปิดชื่อ '2 สตรี-1 บุรุษ' ทาบจูบปาก 'พท.' 'วัฒนา' โต้ 'สุเทพ' ให้ข่าว 'ทักษิณ' ทาบร่วมรัฐบาล ออกตัวไม่มีราคาพอชี้นำการเมืองนายใหญ่ ด้าน 'สุเทพ' ยัน 'นิพนธ์' ไม่ใช่คนกลางเจรจา ขณะที่ 'ธิดา' ชี้แดงไม่เชื่อถือ 'สุเทพ' ดักคอหาช่องแก้ปัญหาตัวเอง

19 มิ.ย. 55 ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ออกมายืนยันอีกครั้งว่า มีคนกลางเข้ามาเจรจาเพื่อให้ไปพูดคุยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ขอไม่แสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ เพราะอีกฝ่ายพูดอย่าง อีกฝ่ายก็ปฏิเสธ ถ้าในความเป็นจริงนายสุเทพ เป็นคนตรงไปตรงมา และเขามักจะแทนคำว่า เขาเป็นคนนักเลง ซึ่งถ้าเป็นนักเลงจริงๆ ต้องบอกว่า สุภาพสตรี 2 คนเป็นใคร และสุภาพบุรุษอีก 1 คน เป็นใคร จะมากำกวมทำไม ต้องฟันธงไปเลย ไม่เห็นจะต้องไปปกปิดเลยถ้าเป็นของจริง เกรงใจใคร ถ้าเกรงใจต้องไม่พูดตั้งแต่ต้น แต่นี่นายสุเทพ เปิดสงครามแล้ว
   “เห็นนายสุเทพ ให้สัมภาษณ์อ้ำๆอึ้งๆ ว่า มีสุภาพสตรีผู้สูงศักดิ์ 2 ท่าน สุภาพบุรุษ เป็นผู้ใหญ่อีก 1 ท่าน อยากถามว่า สูงศักดิ์น่ะสูงเท่าไร สูงกี่เซนติเมตร ประหลาด คนเรามันเท่ากันทั้งนั้น สภาพบุคคลนับแต่คลอดเท่ากันหมด จะสูงศักดิ์ก็ต้อง 165-170 เซนติเมตร คนเป็นกำนันต้องพูดให้ชัด ถ้าคุณเปิดถึงขนาดนี้แล้วคุณปิดทำไม” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
เมื่อถามว่า เป็นเพราะไม่กล้าเปิดเผยหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ไม่แน่ใจ แต่ถ้าไม่กล้าอย่าพูดแต่ต้น ถ้าพูดแต่ต้นแล้วต้องกล้า เมื่อถามว่าแต่นายสุเทพ ระบุว่า หากมีการเปิดเผยอาจถูกคนเสื้อแดงทำร้าย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ใครจะไปทำผิดกฎหมายได้ ตำรวจเป็นแสน เลิกพูดเสียทีเถอะ คนเสื้อแดงไม่ได้คิดอย่างนั้น นายสุเทพ อาจจะไปไม่เป็นก็ได้ แต่ลึกๆ ตนไม่รู้ หากเป็นตนออกมาพูดแบบนี้แล้วต้องเดินหน้าต่อ ถ้าไม่พูดคนก็สงสัย
เมื่อถามว่า เรื่องนี้เชื่อมโยงกับหลังบ้านนักการเมืองที่พัวพันกับเงิน 520 ล้านบาทหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวปฏิเสธว่า คนละเรื่องกัน โดยเรื่องภรรยาที่ไม่จดทะเบียนสมรสของผู้ยิ่งใหญ่นั้น มีคนมาบอกตนตั้งแต่เดือน ก.ย. 54 ซึ่งมีเงินโอนเข้าบัญชีจากตลาดหลักทรัพย์เดือนละ 57 ล้านบาท กระทั่งถึง พ.ค. 55 เป็นเวลา 9 เดือน ก็มีเงินถึง 520 ล้านบาท ทั้งนี้เมื่อช่วงเช้าวันที่ 19 มิ.ย. ตนได้โทรศัพท์ไปให้ทีมทนายความประจำครอบครัวใช้ พรบ.ข้อมูลข่าวสาร ไปดูว่า โปกเกอร์นั้นๆ ที่โอนเงินเข้ามาถือหุ้นอะไร แล้วใครเป็นคนซื้อ เอาเงินมาจากไหน สังคมต้องพิสูจน์ว่าใครชั่ว ใครดี ถ้าปล่อยไว้สังคมก็ไม่รู้ว่า พวกลอยหน้าลอยตาทั้งหลายสุดท้ายแล้วชั่วหรือดี ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง เพราะการเมืองต่อให้เกลียดกันให้ตายถ้าข้อเท็จจริงไม่มีการโอนเงิน 520 ล้านบาท ก็ทำอะไรไม่ได้
เมื่อถามว่า ผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ใช่นักการเมืองหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวยอมรับว่า ใช่ วันนี้พรรคประชาธิปัตย์คงไม่สบายใจหลายเรื่อง ทั้งเรื่องบริษัท อีสต์วอเตอร์ จำกัด (มหาชน) บริจาคเงินช่วยเหลือน้ำท่วม ที่ตนเป็นประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ โดยในวันที่ 27 มิ.ย. นี้ เราจะให้ความเป็นธรรม เกเรกันไม่ได้สมัยนี้ เพราะเป็นยุคข้อมูลข่าวสาร ตนวิเคราะห์ว่า พรรคประชาธิปัตย์อาจไม่สบายใจเรื่องนี้ เพราะตามหลักกฎหมายรัฐหรือรัฐวิสาหกิจห้ามบริจาคเงินให้พรรคการเมือง ส่วนกรุงเทพมหานครก็ต้องตอบดีเอสไอให้ได้ว่าการต่อสัญญารถไฟฟ้าอีก 17 ปี ในขณะที่ยังไม่หมดสัญญาเพราะอะไร
ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวถึงกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า จะมาถามตนทำไม การปรับ ครม. ต้องไปถาม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตนเองยังเอาตัวไม่รอดเลย แต่เห็นนายกฯยิ้มๆอยู่ ซึ่งท่านมีอำนาจเต็ม อย่างไรก็ตาม สำหรับตนไม่เคยสอบถามนายกฯ เรื่องนี้ เพราะไม่มีปัญหา อยู่ก็ได้ ไปก็ดี ไม่ได้คิดอะไร ธรรมดาๆ ถ้ามัวไปคิดว่าต้องอยู่ในตำแหน่งแล้วมันคิดมาก ทั้งนี้ หากนายกฯเมตตาให้อยู่ก็อยู่ ถ้าบอกว่าถึงเวลาให้ไปก็ไป ตนอยู่ในสภาอย่างเดียวก็มีความสุขแล้ว

''วัฒนา'' โต้ ''สุเทพ'' ปูด ''แม้ว'' ทาบร่วม รบ.

นายวัฒนา เมืองสุข ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ทางสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิไตย์พาดพิงว่า เป็นคนรายงานสถานการณ์การเมืองผิดๆ ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า นายสุเทพ รู้ได้อย่างไรว่าตนไปคุยอะไรกับ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือแม้กระทั่งกรณีที่ว่าตนรายงานกรณีทุกพรรคการเมืองพร้อมร่วมยกเว้นพรรคประชาธิปัตย์ ตนไม่อยากให้โต้กันไปมา แต่ก็น่าจะถูกที่ทุกพรรคเอาด้วยเว้น ปชป. เพราะการเมืองระหว่างประชาธิปัตย์และเพื่อไทยรวมกันไม่ได้ เคยมีนักธุรกิจหลายคนบอกว่าหากสองพรรคซึ่งเป็นพรรคเบอร์ 1 และ เบอร์ 2 จับมือกันปัญหาบ้านเมืองก็จบ แต่การค้ากับการเมืองไม่เหมือนกัน การเมืองมีค่ายมีข้าง  ทั้งนี้แต่เดิมการเมืองไม่เป็นสองขั้ว แต่ตอนนี้เป็นสองขั้วชัดเจน ประชาธิปัตย์และเพื่อไทยอย่างไรก็ร่วมกันไม่ได้
   "ที่นายสุเทพบอกว่าผมไปมีบทบาทรายงานเรื่องการเมืองให้ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น อย่าให้ราคาผม ผมไม่มีอะไรไปรายงาน และไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเป็นเพียง ส.ส.ธรรมดา ไม่ได้ทำก็บอกว่าไม่ได้ทำ ตนไม่มีราคาพรรคก็ช่วยเป็นสมาชิกพรรค วันนี้ไม่ได้เป็น รมต. อะไร พ.ต.ท.ทักษิณ รับข้อมูลจากทุกด้าน มีสติปัญญา วิเคราะห์ ทุกด้าน" นายวัฒนา กล่าว
นายวัฒนา กล่าวต่อว่า ปชป. กับ พท. ร่วมไม่ได้แต่ก็คุยกันได้ ตนกับนายสุเทพก็ทักทายพูดคุยกันในสภาไม่ใช่ศัตรูแต่ขนาดไปเอามาร่วมรัฐบาลนั้นเราได้อะไรจากตรงนี้ เสียงในสภาพวกตนมากกว่าอยู่แล้ว ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ใช่ปัญหาในสภา แต่เป็นปัญหานอกสภาคนฟังก็ต้องใช้วิจารณญาณ และรับได้หรือไม่หากเป็นแฟนพรรคประชาธิปัตย์ แต่ ประชาธิปัตย์มาร่วมกับเพื่อไทย
   "ส่วนที่นายสุเทพ บอกว่า ตนพา พ.ต.ท.ทักษิณ ลงเหวนั้น นายสุเทพ อย่าประเมิน พ.ต.ท.ทักษิณ ต่ำไป พูดเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีปัญญา ตนอยากมีปัญญาอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้รวยบ้าง คุณสุเทพให้ราคาตนมาก หากเป็นเช่นนั้นคงไม่เป็น ส.ส. ธรรมดา แต่คงเป็น รมต. ไปแล้ว" นายวัฒนา กล่าว
อย่างไรก็ตาม นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวในรายการเดียวกันโดยยืนยันว่านายนิพนธ์ พร้อมพันธ์ ไม่ใช่ตัวกลางในการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคงไม่เปิดเผยชื่อใคร แต่เชื่อว่าเพื่อไทยเป็นคนเปิดเผยเองเพื่อหาทางเบี่ยงแบนหาทางปฏิเสธทั้งพ่อทั้งลูก

"ธิดา" ชี้แดงไม่เชื่อถือสุเทพดักคอหาช่องแก้ปัญหาตัวเอง

นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ทางสถานีโทรทัศน์สปริงนิวส์ กรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาพรรคประชาธิไตย์ ออกมาระบุมีการเจรจาเพื่อให้ ปชป. ร่วมรัฐบาลว่า ไม่น่ามีอะไรเพราะเรื่องที่นายสุเทพพูดอาจทำให้สังคมแปลกใจแต่สำหรับตนเฉยๆ สำหรับคนเสื้อแดง ที่ผ่านมานายสุเทพไม่ได้รับการเชื่อถือ โดยเฉพาะการพูดเรื่องการเผาบ้านเผาเมือง
อย่างไรก็ตามการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีโอกาสพบคนโน้นคนนี้ หรือมีบางคนมาพูดคุยกันเป็นไปได้ แต่ถามว่าคุยอะไรกัน หากจะเลยเถิดไปถึงนำปปช.มาร่วมรัฐบาลคงไม่ใช่ แต่อาจเป็นการทักทายส่งความรู้สึกดีๆ ต่อกันได้แต่คงไม่ไปไกลถึงตั้งรัฐบาล แต่อาจเป็นการส่งสัญญาณดีๆ คนไทยอยากเป็นนายหน้าเชื่อมประสานก็มีเยอะ การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ คุยกับใครก็ไม่น่าเกลียดเพราะชนะการเลือกตั้งจะไปทอดไมตรีก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ถือเป็นสัญญาณทางบวก อย่างไรก็ตามสิ่งที่นายสุเทพพยายามจะทำเป็นการพยายามแก้ปัญหาของนายสุเทพหรือไม่

“ณัฐวุฒิ” ไม่เชื่อ “ทักษิณ” เชิญ ปชป. ร่วมรัฐบาล ระบุไม่กล้าเปิดชื่อ กลัวกระแสตก

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ปราศรัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่งคนใกล้ชิดมาขอให้พรรคประชาธิปัตย์ยุติการเคลื่อนไหวคัดค้าน ร่าง พรบ.ปรองดองแห่งชาติ แล้วจะให้เข้าร่วมรัฐบาล ว่า ตนมองจากส่วนตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วตนไม่เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะคิดอย่างนั้น แต่ถ้าใครมีเจตนาดีเสนอว่าจะทำโน่นทำนี่ก็ไม่แน่ อาจจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นตนอยากให้พิจารณากันด้วยข้อเท็จจริงว่าการเมืองสู้กันมาก 6 ปี เลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 ก.ค. ที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง นโยบายของเพื่อไทยและประชาธิปัตย์ก็เข้ากันไม่ได้ แล้วอยู่ๆ เพื่อไทยจะไปดึงพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาลแล้ว พรรคเพื่อไทยจะเหลืออะไร ส่วนจะมีใครเป็นนายหน้าค้าสันติภาพในเรื่องนี้ก็ไม่แน่อาจเป็นไปได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า เป็นไปได้ว่าการเชิญพรรคประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาลเพื่อความปรองดอง นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ถ้าจะบอกว่าเพื่อความปรองดองตนว่าคงไม่ใช่ เพราะในรัฐสภาก็ยังเห็นต่าง ต่างคนต่างต่อสู้กัน ถ้าจะอ้างว่าสร้างความปรองดองต้องคำนึงถึงจิตใจประชาชนด้วย ทั้งๆ ที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีส่วนร่วมตั้งแต่ต้น ดังนั้นตนคิดว่าทางฝ่ายค้านก็คงไม่เปิดชื่อคนกลาง เป็นเกมในเวทีปราศรัย ถ้าเปิดชื่อมาก็จะทำให้กระแสนี้ตกไป ส่วนคนเสื้อแดงก็เข้าใจกันดีคุยถึงเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องขำขัน
ผู้สื่อข่ามถามว่า กรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่า ภรรยานอกสมรสของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ มีเงินเข้าบัญชีส่วนตัว 520 ล้านภายใน 9 เดือน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ถ้าเป็นข้อเท็จจริงนายสุเทพ ก็ควรอธิบาย ส่วนการเสนอทฤษฎีการเมืองนั้นตนคิดว่าก็วูบวาบแค่ช่วงหนึ่งแล้วก็คงจะหายไป
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่ นายณัฐวุฒิ จะให้สัมภาษณ์ มีกลุ่มผู้พิการทางสายตาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้ง จ.บุรีรัมย์ อุดรธานี มหาสารคาม เป็นต้น กว่า 50 คน เดินทางมารอพบนายณัฐวุฒิ เพื่อยื่นหนังสือให้เพิ่มโควต้าสลากกินแบ่งรัฐบาลให้กับผู้พิการทางสายตา เนื่องจากผู้พิการยังต้องซื้อสลากที่ราคา 110-120 บาทซึ่งถือว่าแพงอยู่มากจึงอยากให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ผลักดันช่วยเหลือเพิ่มโควต้าสลากเพื่อผู้พิการทางสายตาด้วย โดยนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้รับหนังสือด้วยตัวเอง พร้อมบอกกับผู้พิการว่าตนอยู่กระทรวงเกษตรฯไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แต่ยินดีจะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้