ใบตองแห้ง ออนไลน์: ดันทุเรศ vs ดันทุรัง

ประชาไท 29 พฤษภาคม 2555 >>>


อ่านหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ฉบับวันอาทิตย์แล้วก็ให้สังเวชใจ กับบทวิเคราะห์การเมืองที่ว่า ทักษิณปลุกเร้าเสื้อแดงให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม ต่อสู้กับเผด็จการ เรียกร้องประชาธิปไตย เรียกร้องความเท่าเทียม ปลุกกระแสไพร่ ไล่อำมาตย์ ฯลฯ จนทำให้ฐานมวลชนเสื้อแดงขยายตัวมากขึ้น กลายเป็นฐานเสียงหลักของพรรคเพื่อไทย โดยยังมีกลุ่มเสื้อแดงอุดมการณ์ ที่ในอดีตมีแนวคิดเป็นพวกฝ่ายซ้าย ต้องการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง เข้ามาร่วมเป็นแกนจัดตั้งและขับเคลื่อนมวลชน รวมถึงกลุ่มเสื้อแดงแฝงประโยชน์ ที่เข้ามาร่วมขบวนการเสื้อแดง เพื่อหวังประโยชน์ทั้งทางการเมืองและผลประโยชน์ด้านอื่นๆ
จากนั้นก็สรุปว่าเมื่อทักษิณต้องการปรองดอง ไอ้พวกที่ไม่ยอมปรองดองก็คือ 2 กลุ่มหลังนี่แหละ
โอ้ เมื่อก่อนพวกเมริงก็หาว่าเสื้อแดงเป็นมวลชนรับจ้าง โง่ ถูกหลอก พอตอนนี้กลับบอกว่าใครตามก้นทักกี้คือผู้ต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เรียกร้องประชาธิปไตย แต่ถ้าใครเป็นแดงอิสระคือพวกล้มเจ้า หรือหวังผลประโยชน์
ไม่ต้องง้างปากดูก็รู้ว่ารับงานใคร กล่าวได้ว่า พ.ร.บ.ปรองดอง ทำให้เห็นธาตุท้อง เอ๊ย ธาตุแท้ ของทุกคน
ก๊วนการเมืองพรรคเพื่อไทยทยอยกันออกมาขานรับ พ.ร.บ.ปรองดอง ข้ามศพข้ามชีวิตเลือดเนื้อของมวลชนเสื้อแดงกันหน้าตาเฉย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โชว์ฟอร์ม “ทหารอาชีพ” สวนหมัดพันธมิตร อย่าดึงกองทัพไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง อ้าว ก็แหงน่อ นี่มัน พ.ร.บ. ล้างผิดให้ทหาร ไม่ต้องรับผิดการส่องหัวประชาชน
ข้าง (ว่าที่) อำมาตย์ตู่ อำมาตย์เต้น ก็เล่นละครเล่เก๊ เสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ฉบับที่ 3 ยกเว้นการนิรโทษผู้สั่งฆ่าประชาชน อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ ว่าเป็นข้ออ้างให้ยกมือรับร่างในวาระแรก เอาไว้วาระ 2-3 ค่อยหาทางเอาตัวรอดดาบหน้า ถ้าแน่จริง ทำไมไม่สวนหมัดด้วยการเสนอ พ.ร.บ. นิรโทษกรรมเฉพาะมวลชนที่ติดคุกละครับ
เพราะนั่นคือข้อดีเพียงข้อเดียว ที่หลงอยู่น้อยนิดใน พ.ร.บ. ฉบับนี้ ขณะที่คนติดคุกตามมาตรา 112 ไม่ได้นิรโทษด้วย สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ต้องยอมรับสารภาพเป็นคดีที่ 5 รับโทษต่อเนื่องจาก 4 คดีที่แล้วเป็น 12 ปีครึ่ง เพื่อจะให้คดีถึงที่สุดและขอพระราชทานอภัยโทษ
คดีอย่างนี้มีที่เดียวในโลก วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ น่าจะชวนมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดมาทำวิจัยเป็นเคสอัศจรรย์ในประมวลกฎหมายไทย จำเลยติดคุกไม่ได้ประกัน จนต้องตัดใจไม่สู้คดี หวังพึ่งพระมหากรุณาธิคุณ สรุปแล้วเลยไม่รู้ว่าความถูกผิดอยู่ที่ไหน ผิดจริงหรือเปล่าไม่ต้องสนใจ
แต่พอเรียกร้องให้นิรโทษคดี 112 บ้าง (ว่าที่) อำมาตย์ตู่ก็อ้างหน้าตาเฉยว่า นิติราษฎร์และ ครก.112 ดำเนินการอยู่แล้ว โดยใช้ช่องทางล่ารายชื่อยื่นต่อรัฐสภา
ถ...ถ...ถ...ถุย

มั่วกับตะแบง

ภาพที่ปรากฏในสื่อกระแสหลักตอนนี้คือการต่อสู้ 2 กระแส ระหว่าง พ.ร.บ.ปรองดอง “ล้างผิด” กับการปกป้องหลักนิติรัฐนิติธรรมค้ำจุนรัฐประหาร (ผมหัวร่อก๊ากเลยวันที่มหาจำลองบอกว่าบิ๊กบังทำเสียสถาบันหัวหน้าคณะปฏิวัติ)
ซึ่งเข้าทางสื่อ ที่พยายามจะเน้นให้ประชาชนเลือกว่าอันไหนถูก อันไหนผิด ทั้งที่ความจริงผิดทั้งคู่ (สื่อกระแสหลักจึงพยายามปิดกั้นกระแสที่สาม สื่อสลิ่ม พันธมิตร ตีกันผู้รักประชาธิปไตยเป็น “แดงล้มเจ้า” ขณะที่สื่อใบสั่งก๊วนการเมืองเพื่อไทย ก็กำลังจะปลุกผังล้มเจ้าเช่นกัน)
ผู้รักประชาธิปไตยต้องยืนยันว่าเราไม่เอา “นิรโทษเหมาเข่ง” และยืนหยัดหลักการ “ลบล้างผลพวงรัฐประหาร” ตามข้อเสนอของนิติราษฎร์ เพียงแต่ปัญหาสำคัญคือ มวลชนที่ถูกจองจำอยู่ในคุก ซึ่งกลายเป็นตัวประกัน แลกกับการนิรโทษกรรมทักษิณและผู้สั่งฆ่าประชาชน จึงต้องเรียกร้องให้ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ตามโรดแมพปรองดองของนิติราษฎร์ (ซึ่งนิรโทษผู้ที่มีความผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และความผิดเล็กน้อยทันที ส่วนผู้มีความผิดเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ)
แน่นอนว่านี่เป็นหนทางที่เจ็บปวด ไม่เอานิรโทษเหมาเข่ง พี่น้องที่อยู่ในคุก 50 คน ก็ต้องทนทุกข์ทรมานต่อไป แต่ต้องถามใจกันว่าสู้มาถึงขั้นนี้แล้วจะยอมให้คนผิดลอยนวลไหม และถ้ารัฐบาลเพื่อไทยแข็งขันเอาจริง (หรือเกี้ยเซี้ยอำมาตย์ได้จริง) ก็น่าจะมีหนทางช่วยประกันตัวพวกเขาไม่ใช่หรือ
ฉะนั้นสิ่งที่ควรทำความชัดเจนต่อมวลชนคือ
1. พ.ร.บ.ปรองดอง “นิรโทษเหมาเข่ง” นอกจากไร้หลักการแล้วยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอันใดเลย (เพราะทักษิณก็บอกว่ายังอยู่เมืองนอกได้) นอกเสียจากการช่วยเหลือมวลชนเสื้อแดงที่ยังถูกจองจำ ซึ่งสามารถออก พ.ร.บ. หรือแม้แต่ พ.ร.ก. นิรโทษกรรมเป็นการเร่งด่วนได้ (ซึ่งถ้าทำตามโรดแมพนิติราษฎร์ก็ไม่ใช่การ “ช่วยพวก” แต่เป็นการคืนความยุติธรรมเพราะมวลชนส่วนใหญ่ถูกตั้งข้อหาเกินจริง กระบวนการยุติธรรมใช้ทัศนคติเชิงลบกับเสื้อแดง)
2. ต้องยืนหยัดเอาผิดผู้รับผิดชอบการเข่นฆ่าประชาชนในเหตุการณ์พฤษภา 53 ถึงแม้ว่าถึงที่สุดแล้วอาจจะเอาผิดไม่ได้ แต่ต้องมีการหาความจริง (ซึ่งเป็นหน้าที่ คอป. แต่ตอนนี้ยังดองไม่ได้ที่ ไม่เปรี้ยวพอ) ต้องนำเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง ไม่ให้เกิดการฆ่าหมู่ทางการเมืองอีก ต้องลากคออดีตนายกฯ อดีตรองนายกฯ อดีต ผบ.ทบ. ผบ.ทบ. แม่ทัพนายกอง นายพลทั้งหลายขึ้นศาล ถึงแม้ว่าท้ายที่สุดอาจเอาผิดไม่ได้ หรือท้ายที่สุด อาจเอาผิดแล้วนิรโทษกรรมเพื่อความปรองดอง แต่ความปรองดองนั้นต้องมาภายหลังความยุติธรรม
3. ไม่จำเป็นต้องนิรโทษกรรมให้บ้านเลขที่ 111 (แหง เพราะพ้นการจองจำแล้ว) และบ้านเลขที่ 109 เพราะจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรักษาการหัวหน้าพรรคไทยรักไทย เคยประกาศไว้ว่า ถ้านิรโทษหมายความว่าการพ้นผิด พวกเขาก็ไม่ต้องการ เพราะพวกเขาไม่ผิด รัฐประหารออกประกาศ คปค. เพิ่มโทษกรรมการบริหารพรรคที่ถูกยุบ แล้วตุลาการรัฐธรรมนูญฉวยเอามาใช้ให้มีผลย้อนหลัง
การนิรโทษไม่ได้ทำให้บ้านเลขที่ 111 และ 109 พ้นโทษอย่างสง่างาม แต่การลบล้างผลพวงรัฐประหาร และแก้ไขรัฐธรรมนูญสิ จะทำให้นักการเมืองทั้งสองกลุ่มยืดอกพกความภาคภูมิว่าพวกเขาได้ความยุติธรรมคืนมาแล้ว
4. ทักษิณไม่ได้รับความยุติธรรม เรายืนยันข้อนี้ ทักษิณถูกกระทำจากรัฐประหาร สมคบกับตุลาการภิวัตน์ ซึ่งใช้อำนาจตุลาการเพื่อเป้าหมายทางการเมือง ทำให้หลักนิติรัฐนิติธรรมย่อยยับ
แต่การนิรโทษกรรมคดีที่ดินรัชดาและคดียึดทรัพย์ เป็นแค่การลูบหน้าปะจมูก ไม่ได้ฟื้นหลักนิติรัฐนิติธรรมคืนมา (แต่ไม่ใช่การทำลาย อย่างที่พวกพันธมิตร แมลงสาบ และ 40 ส.ว. กล่าวหา เพราะมันถูกทำลายไปใต้อุ้งเท้าตุลาการภิวัตน์เรียบร้อยแล้ว)
ขณะที่การลบล้างผลพวงรัฐประหาร ลบประกาศ คำสั่ง ของ คปค. คือการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประชาธิปไตย ในการลบล้างนิรโทษกรรมรัฐประหาร (เอาบิ๊กบังขึ้นศาลให้สมใจมหาจำลอง) ลบล้างผลพวงที่ทำให้เกิดคำพิพากษา ฉีกหน้ากากอันสูงส่งของตุลาการภิวัตน์ให้ลงมาอยู่ติดดิน (แต่ก็ให้โอกาสแก้ตัวใหม่ ด้วยการนับหนึ่งใหม่ในคดีความของทักษิณทุกคดี)
การนิรโทษกรรมคือการยอมรับรัฐประหาร ยอมรับอำนาจตุลาการภิวัตน์ ว่าถูกแล้ว ชอบแล้ว แค่ทักษิณขอตัดช่องน้อยแต่พอตัว (สมถะจริ๊ง)
5. ความพยายามปรองดองกับทักษิณของฝ่ายอำมาตย์ คือความต้องการที่จะรักษาสถานภาพ โดยไม่ยอมสูญเสียอะไรเลย และไม่ยอมรับผิด ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองจนเกิดวิกฤติยาวนาน 6 ปี ยังทำหน้าตาเฉยจะกลับไปอยู่ในสถานะเดิมเหมือนก่อน 19 กันยายน 2549
เราไม่ได้ต้องการทำลายล้างใคร แต่ต้องการให้ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ เปิดกว้างสิทธิเสรีภาพ เพื่อ “อำมาตย์” กับประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันในระบอบประชาธิปไตย ถ้าไม่มีการปฏิรูป วิกฤติจริงก็ไม่สิ้นสุด แค่ซุกไว้ใต้พรมรอวันระเบิดขึ้นใหม่ แต่แนวโน้มคือพวกเขาไม่ยอมให้ปฏิรูปอะไรเลย ไม่ให้ปฏิรูปโครงสร้างอำนาจอธิปไตย ไม่ให้ปฏิรูปศาล ไม่ให้ปฏิรูปกองทัพ แค่เกี้ยเซี้ยกับทักษิณแล้วคิดว่าจะจบ
มันไม่จบหรอกครับ เพราะยักษ์ตื่นขึ้นมาแล้ว
6. ความต้องการปรองดองอย่างงี่เง่า คิดสั้น และข้ามศพประชาชน คือจุดเสื่อมของรัฐบาล พรรคเพื่อไทย ตลอดจนแกนนำ นปช.ที่นับแต่นี้จะถูกรุมกระทืบโดยแมลงสาบ สลิ่ม เสื้อเหลือง และสื่อ โดยมวลชนผู้รักประชาธิปไตยเหนื่อยหน่ายที่จะปกป้อง ขณะที่ฝ่ายอำมาตย์ก็จะลอยตัวจากความขัดแย้ง เดินสายพูดเรื่องคุณธรรมความดีเรื่อยเปื่อย ปล่อยให้รัฐบาลรับเผือกร้อนไป
สถานการณ์เช่นนี้เสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขึ้นอีกครั้ง แม้ยังไม่แน่ว่าเป็นรูปแบบใด เครือข่ายอำมาตย์ ตุลาการภิวัตน์ พร้อมจะดัดหลังพรรคเพื่อไทยทุกเมื่อ และอาจจะเกิดความสับสนปั่นป่วนขึ้นอีก อย่างน้อยก็จากการแยกขั้วของผู้รักประชาธิปไตยและแดงอิสระ ที่แม้ยังถือว่าพรรคเพื่อไทยเป็นแนวร่วมแต่ก็ไม่สนิทใจเหมือนเดิมอีก
แกนนำ นปช.จะสำแดงธาตุแท้ของแต่ละคน ขบวนจะแตกออกเป็นอิสระ และคงไม่สามารถสร้างขบวนใหม่ที่เป็นเอกภาพในระยะใกล้ แต่ไม่ใช่เรื่องต้องกังวลจนมองโลกแง่ร้าย ผู้รักประชาธิปไตยจะเกาะเกี่ยวกันด้วยการนำทางความคิดของนักวิชาการ เช่นนิติราษฎร์ ซึ่งปัจจุบันมวลชนตื่นตัวขึ้นเยอะแล้ว สื่อสารกันเองทุกช่องทาง การนำด้วยหลักการ เหตุผล มีพลังลึกซึ้งกว่าพวกเย้วๆ บนเวที เมื่อ 6 ปีก่อนผมยังนั่งคุยกับ อ.วรเจตน์อยู่แค่ 2 คน ถามว่าวันนี้มีใครไม่รู้จักวรเจตน์บ้าง

พันธมิตรไม่ใช่แนวร่วม

อันที่จริงควรเป็นข้อ 7 แต่เน้นให้โดยเฉพาะ คริคริ
ผู้รักประชาธิปไตยไม่เอา พ.ร.บ.ปรองดอง พันธมิตร แมลงสาบ สลิ่ม สื่อ ก็ไม่เอา พ.ร.บ.ปรองดอง ถือเป็นแนวร่วมเฉพาะกิจ แต่ไม่มีจุดร่วมกันเลยทางความคิด
หลายปีก่อน “ภาคประชาชน” เคยเพ้อฝันว่าซักวันเสื้อเหลืองเสื้อแดงจะหันมารวมกันได้ แต่ตอนนี้ตื่นแล้ว เหลืองแดงไม่มีวันรวมกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังเหตุการณ์นองเลือด พฤษภา 53 ซึ่งเสื้อเหลืองและสลิ่ม ร่วมกัน “ออกใบอนุญาตฆ่า”
พธม.อาจจะเถียงว่าพวกเขาไม่ได้ออกแถลงการณ์โดนแกนนำ ยุยงส่งเสริมให้ฆ่าฟันเสื้อแดง แต่สื่อและผู้คนที่เกี่ยวข้องกับพวกเขาปลุกความเกลียดชังอยู่ตลอด โดยแกนนำ หรือนักวิชาการที่อยู่ในศีลในธรรม ไม่เคยทักท้วงห้ามปรามกันซักนิด
ครั้นมาเกิดปรากฏการณ์ทักษิณที่เขมร ทักษิณวิดีโอลิงก์ที่ราชประสงค์ และไม่กล้า ไม่แก้ ไม่เกี่ยวค่ะ กะมาตรา 112 พวกผีตองเหลืองก็เหมือนได้น้ำมนต์ลุกขึ้นมาจากหลุม ตีปี๊บดีอกดีใจ ไชโยโห่หอน ส่ายตูดร่อนเยาะเย้ยแดงอิสระ นักประชาธิปไตย ว่าถูกหลอก ถูกหักหลัง ฟังแล้วทั้งสมเพชทั้งขบขัน ดีใจทำพ่อ’งเรอะ ยังกะตัวเองจะกลับมาได้ชัยชนะ ประชาชนทั้งประเทศจะกลับไปหมอบราบคาบแก้ว ว่าคุณพ่อพันธมิตรทำถูกแล้ว ชอบแล้ว ที่ออกบัตรเชิญรัฐประหาร ปกป้องรัฐประหาร ยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน ชงลูกให้ตุลาการภิวัตน์
โธ่ถัง มันก็แค่เสียงตะโกนจากหลังเขา ของพวกที่ตกเวทีไปแล้ว ดำรงชีวิตอยู่อย่างแร้นแค้นกันดารด้วยเศษอาหารแห่งความเพ้อฝัน จมปลักอยู่กับวันคืนเก่าๆ 193 วัน เกือบปีที่ผ่านมาก็ต้องกล้ำกลืนความพ่ายแพ้และผิดหวัง ระบายความโกรธเกรี้ยวปลอบใจกันตามหน้าเฟซบุค เว็บบอร์ด และสื่อบางฉบับ ที่พาดหัวรายวันเหมือนอกกลัดหนองมาสองร้อยปี
พันธมิตรอาจกลับมาเคลื่อนไหวได้ ด้วยความงี่เง่า คิดสั้น ของรัฐบาล แต่พันธมิตรไม่มีวันก้าวไปไหนได้ ด้วยอุดมการณ์หลังเขา ยึดเอาความคิดจารีตนิยมสุดขั้วเป็นที่พึ่ง ปฏิเสธอำนาจอธิปไตยของปวงชน ปิดกั้นสิทธิเสรีภาพ
พันธมิตรจึงไม่ใช่แนวร่วมของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะอุดมการณ์สวนทางกันชัดเจน แทนที่จะมุ่งไปสู่การต่อสู้ให้ประชาชนมีอำนาจมากขึ้น พวกเขากลับต้องการให้อำนาจผูกขาดอยู่กับชนชั้นนำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง เพื่อต่อต้าน “ธุรกิจการเมือง” ปากพวกเขาอาจจะอ้างประชาชน แต่ประชาชนในความหมาย “การเมืองใหม่” จำกัดไว้แค่คนกรุงคนชั้นกลางหัวอนุรักษ์ ระบอบที่พวกเขาต้องการคือประชาธิปไตยสรรหา ระบอบอำนาจร่วมกันระหว่างชนชั้นนำ กองทัพ ตุลาการ และคนชั้นกลาง ตัดคนชนบทผู้โง่เขลาออกไปเป็นประชาผู้รอการสงเคราะห์ รอหมอประเวศมาเทศน์โปรดแก้ความเหลื่อมล้ำ
พันธมิตรคือตัวแทนคนกรุงคนชั้นกลางฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่หวงอำนาจ กลัวสูญเสียบทบาท “คนชนบทเลือกรัฐบาล คนกรุงล้มรัฐบาล” ตามทฤษฎีสองนคราประชาธิปไตย ที่ตายโหงตายห่านไปแล้ว สื่อ นักวิชาการ นักกิจกรรม ที่เล่นตามกระแสโดยไร้เหตุผล กลัวตัวเองจะหมดบทบาท หมดราคา เมื่อประชาธิปไตยเบ่งบานไปในชนบท วิทยุชุมชน ทีวีดาวเทียม อินเตอร์เน็ต เข้าถึงทุกหนทุกแห่ง
จึงไม่ต้องแปลกใจที่พวกเขาโกรธแค้นชิงชังนักวิชาการประชาธิปไตย ที่ยืนหยัดหลักการคัดค้านความพยายามบรรลุเป้าหมายโดยไม่คำนึงถึงวิธีการของพวกเขา (จนหน้าแหก เสียศูนย์ พ่ายแพ้ จนมุม) ตอนแรกพวกเขากล่าวหาว่ารับเงินทักษิณ เป็นเครื่องมือทักษิณ มาตอนนี้พอยอมรับว่าเป็น “แดงอิสระ” (ที่จริง “แดงธรรมชาติ” เพราะแดงมาก่อนทักษิณ แดงมาก่อนจะมีเสื้อแดง) พวกนี้ก็ให้ร้ายว่าเป็น “แดงล้มเจ้า” เกลียดชังไม่ต่างจาก “ทุนสามานย์” หมายเสี้ยมให้แตกแยก แล้วจะได้ทำลายไปพร้อมกัน
ท่าทีเช่นนี้เราจึงไม่สามารถญาติดีกับพันธมิตร ไม่สามารถเป็นแนวร่วมกับพันธมิตร ยกเว้นตัวบุคคลบางคนที่เคยสนับสนุนพันธมิตรแต่ถอยมาอยู่ในจุดที่ยังมีความเป็นมนุษย์ เศร้าเสียใจและเห็นอกเห็นใจกับความสูญเสียที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีก่อน