ทำไม 'ออกซ์ฟอร์ด' ไม่แยแสนักการเมือง

คมชัดลึก 4 พฤษภาคม 2555 >>>




ผมไม่ใช่นักวิชาการในคราบนักการเมือง หรือ เป็นนักการเมืองแต่อยากเป็นนักวิชาการ เหมือนเคยได้ยินนักข่าวถามนักการเมืองว่าหลังเลิกเล่นการเมืองจะไปประกอบอาชีพอะไร หลายคนบอกว่า “จะไปเป็นอาจารย์สอนหนังสือในมหาวิทยาลัย” ผู้ปกครองบางคนเห็นผลงานการอภิปรายในสภาของ ส.ส. บ้านเรา พากันขนหัวลุกเมื่อได้ยินคำตอบเช่นว่านี้
ที่ต้องนำเอาประเด็น “นักวิชาการ นักการเมือง” มาเขียนถึง เพราะเห็นว่าห้าปีที่ผ่านมา นักการเมืองบ้านเลขที่ “109 กับ 111” ผันตัวมาทำงานหลายอย่าง ผมเห็นบางคนไปเป็น “พิธีกรพูดคุยปัญหาบ้านเมือง” บางคนเอาจริงเอาจังตั้งสำนักเป็นของตัวเองทำงานวิชาการเต็มตัว หลายคนไปเข้าอบรมหลักสูตรสำคัญๆ ของชาติหลายแห่ง บางคนมาพบกันอีกทีได้ดีกรีเป็น “ดอกเตอร์” เมืองนอกเมืองนา พวกเมดอินไทยแลนด์ก็มีหลายคน
แต่สิ่งซึ่งสังเกตเห็น อยากเล่าสู่กันฟัง คือ สมัยเป็นนักเรียนนอกที่ “ออกซ์ฟอร์ด” เด็กรุ่นน้องถามผมเรื่องการให้ “ปริญญากิตติมศักดิ์กับนักการเมืองของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด” เห็นตรงกันว่าทำไมแทบไม่ค่อยมีการให้แก่บรรดานักการเมืองหรือผู้นำคนดังๆ กันเลย ให้แต่นักวิทยาศาสตร์บ้าง หมอบ้าง วาทยกรบ้าง รู้กันดีว่ามหาวิทยาลัยเก่าแก่กว่า 900 ปีแห่งนี้ มีศิษย์เก่าและศิษย์ในอนาคตก้าวไปเป็นผู้นำทั้งของประเทศอังกฤษเองและของโลกนับคนไม่ถ้วน เฉพาะนายกรัฐมนตรีของไทยอย่างน้อยๆ 3 คนที่ผ่านไป ตั้งแต่ หม่อมราชวงศ์ เสนีย์ ปราโมช  หม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ปราโมช และคุณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และอาจมีอีกในอนาคตอันใกล้ เมื่อสงสัยผมจึงไปสอบถามผู้เกี่ยวข้องกับการงานดังกล่าวของมหาวิทยาลัย เขาให้ข้อคิดอย่างน่าสนใจว่า “คำว่า การเมืองในภาษาอังกฤษ (politics)” ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่ามันมีอักษรโรมัน “ตัวเอส (s) ห้อยหลังอยู่เสมอ” เป็น “พหูพจน์” บ่งบอกถึง “ความมีพรรคมีพวกมีฝักฝ่าย” ถ้าเราให้ Tories (พรรคอนุรักษนิยม) ทาง Labour (พรรคแรงงาน) ก็อาจค้อนเอาได้ แต่เรา (มหาวิทยาลัย) จะไม่ไปยุ่มย่ามหากแต่ละคอลเลจ (college) ที่คนคนนั้นเคยพำนักอาศัยสมัยเรียนหนังสือจะภาคภูมิใจยกย่องเชิดชูกันเองให้อึกทึกครึกโครมอย่างไรก็ทำไป เหมือนอย่าง Somerville (ซอเมอร์วิว คอลเลจ) ในกรณี บารอนเนส มาร์กาเรต แทตเชอร์ สตรีเหล็กตัวจริงของอังกฤษ เธอเคยอาศัยเล่าเรียนหนังสือ เช่นเดียวกับ St. John (เซนต์จอห์น คอลเลจ) ต้นสังกัดของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย กับคุณกรณ์ จาติกวณิช จะคิดอ่านฉลองกันอย่างไรก็ทำไปเขาไม่ว่า
ทำให้ขัดหูขัดตากับหลายสถาบันการศึกษาของประเทศนี้ที่ชอบเอานักการเมืองมา “ชุบตัว” ตระเวนเปิดหลักสูตรเชื้อเชิญอ้อนวอนเอานักการเมือง พ่อค้าใหญ่ มาเป็นลูกศิษย์เพราะหวังกันว่าคนพวกนี้วันหนึ่งอาจมีบารมีได้ดีเป็นเสนาบดี เป็น “อำมาตย์” อย่างที่ล้อๆ กัน ย่อมมีอานิสงส์ส่งผลต่อตัวผู้สอนและสถาบันของตัวให้ได้เล่าลือระบือไกล บางแห่งรับเอาบรรดาสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล ส่วนจังหวัด (อบต.- อบจ.) เข้าหลักสูตรปริญญาเอกเป็นว่าเล่น อีกหลายแห่งตั้งแต่นายกสภามหาวิทยาลัย กระทั่งดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์มีนักการเมืองน้อยใหญ่ มีชื่อติดโผกับเขาด้วยทุกครั้งไป
เขียนมาอย่าคิดว่า “บ่นๆ ให้ฟัง” ผมอยากเห็นทั้งคนได้ปริญญากับครูบาอาจารย์ในสถาบันเหล่านั้นได้คิดไตร่ตรองกันบ้างว่า “นักการเมืองก็ดี พ่อค้านักธุรกิจก็ดี” เขาเก่งจริง เก่งจัง ช่างเขา จะยกย่องเชิดชูคิดให้มากกว่าอนุมัติปริญญาโท ปริญญาเอกกันบ้างคงดี มันอาจตรงใจ ถูกจริตคนไทยบางส่วน จำพวก “บ้ายศ บ้าอำนาจ” ถ้าอยากเห็นประเทศเราเจริญยิ่งกว่าฝรั่ง แข็งแกร่งกว่าจีนญี่ปุ่น อยากให้ลองเอาเยี่ยงเอาอย่างต่างชาติต่างภาษาเขาทำกัน “เขาไม่แยแสนักการเมือง” เพราะรู้ดีว่านักการเมืองส่วนใหญ่ มีซ้ายมีขวา มีเผด็จการ มีเรื่องอื้อฉาวมากมาย คิดได้ทำได้อย่างเขา เราน่าจะไปได้ไกลกว่าเขามากโขอยู่ครับ