นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการอิสระ ได้สรุปความเห็นกรณีศาลรัฐธรรมนูญโดยเสียงข้างมากวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพ ส.ส. ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ได้สิ้นสุดลง เป็นคำถาม 3 ข้อ
1. ศาลได้ปรับใช้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมาขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญที่มีลำดับศักดิ์สูงกว่าหรือไม่ ?
2. ศาลได้ตีความกฎหมายอย่างไม่ระวัง จนเป็นการจำกัดตัดสิทธิเสรีภาพของประชาชนทั่วไปในการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง อีกทั้งเปิดโอกาสให้มีการใช้อำนาจ “คุมขัง” เป็นอาวุธทางการเมืองหรือไม่ ?
3. คำวินิจฉัยนี้ทำให้เราควรหันมาปฏิรูปองค์กรตุลาการอย่างไร ?
ศาลรัฐธรรมนูญโดยเสียงข้างมากวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพ ส.ส. ของนายจตุพรได้สิ้นสุดลง แต่สิ่งที่อาจยังไม่สิ้นสุดก็คือ “ภาพเหตุผลทางกฎหมายอันน่าสะเทือนใจ” ที่คงจะค้างคาในมโนภาพของนักนิติศาสตร์และประชาชนอีกหลายคน
หลังศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย สำนักงานศาลได้เผยแพร่เอกสาร “ผลการพิจารณาพิพากษาอรรถคดีของศาลรัฐธรรมนูญ เอกสารข่าวที่ 15/2555” มีคำอธิบายผลการพิจารณาตอนหนึ่งดังนี้
...ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าการถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาลในวันเลือกตั้งซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 100 (3) ถือเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคคลซึ่งจะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง และเมื่อผู้ถูกร้องมีลักษณะต้องห้ามดังกล่าวจึงมีผลให้สมาชิกภาพความเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามมาตรา 20 วรรคหนึ่ง (3) ผลของการสิ้นสุดสมาชิกภาพความเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยของผู้ถูกร้อง ทำให้ผู้ถูกร้องขาดคุณสมบัติความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (3) ซึ่งต้องสังกัดพรรคการเมือง และเป็นผลให้สมาชิกภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (4)...
คำอธิบายดังกล่าวมีเนื้อหาสอดคล้องกับคำวินิจฉัยที่ศาลได้อ่านและสื่อมวลชนได้รายงานไปแล้ว ซึ่งผู้ทำความเห็นจะได้อ้างถึงในความเห็นฉบับนี้
สรุปเหตุผลของคำวินิจฉัย
คดีนี้ศาลได้ตีความ “รัฐธรรมนูญ” ประกอบกับกฎหมายอีกฉบับคือ “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550” (เรียกย่อในความเห็นนี้ว่า “พ.ร.ป.”) โดยศาลได้ปรับใช้กฎหมายเกี่ยวโยงกันหลายมาตรา สรุปได้ดังนี้
รัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (4) “สมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสิ้นสุดลงเมื่อ...ขาดคุณสมบัติตามมาตรา 101...”
รัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (3) “บุคคลผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้เป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร...เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียวเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าเก้าสิบวันนับถึงวันเลือกตั้ง...”
ข้อสังเกต เมื่อศาลพบว่ารัฐธรรมนูญมิได้กำหนดเรื่องการสิ้นสุดของ “ความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง” ไว้ ศาลจึงนำ พ.ร.ป. ซึ่งเป็นกฎหมายที่ช่วยขยายบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้มีความครบถ้วนยิ่งขึ้นมาพิจารณาประกอบว่าความเป็นสมาชิกพรรคของนายจตุพรได้สิ้นสุดลงหรือไม่ดังต่อไปนี้
พ.ร.ป. มาตรา 20 (3) “สมาชิกภาพของสมาชิกสิ้นสุดลงเมื่อ...ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 19...”
พ.ร.ป. มาตรา 19 วรรคหนึ่ง “ผู้ซึ่งจะเป็นสมาชิกต้องเป็นบุคคลธรรมดาผู้มีสัญชาติไทย มีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 8 วรรคหนึ่ง...”
พ.ร.ป. มาตรา 8วรรคหนึ่ง “ผู้มีสัญชาติไทย...และไม่มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ..”
ข้อสังเกต เมื่อศาลพบว่ามาตรา 8 เป็นมาตราที่เขียนข้อความให้ล้อตามรัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดไว้ว่าลักษณะต้องห้ามนั้นเป็นอย่างไร ศาลจึงย้อนกลับไปที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 100 เพื่อพิจารณาว่า “ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง” มีกำหนดไว้อย่างไร
รัฐธรรมนูญ มาตรา 100 (3) “บุคคลผู้มีลักษณะดังต่อไปนี้ในวันเลือกตั้ง เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง...ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย...”
ศาลอธิบายเพิ่มเติมว่า กฎหมายมีจุดประสงค์เพื่อให้บุคคลที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของกฎหมายและระเบียบวินัยของพรรคการเมือง การถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาของศาลโดยไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวแสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำผิดที่มีความรุนแรงและมีเหตุให้ศาลไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง โดยเฉพาะการใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญกว่าบุคคลทั่วไปที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง
ดังนั้น เมื่อศาลพบว่านายจตุพร “ต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย” ศาลจึงสรุปว่า “การถูกคุมขัง” ทำให้ “ความเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย” สิ้นสุดลง ซึ่งส่งผลให้ “ความเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร” ของนายจตุพรสิ้นสุดลงเช่นกัน
ความเห็นทางกฎหมาย
แม้ผู้ทำความเห็นจะมิได้ชื่นชอบนายจตุพรไปกว่านักการเมืองทั่วไป แต่ด้วยความเคารพต่อหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ ผู้ทำความเห็นจำต้องตั้งคำถามว่าการตีความกฎหมายในคดีดังกล่าวได้ทำให้เกิดปัญหาสำคัญอย่างน้อย 3 ประการดังนี้หรือไม่ ?
คำถามที่ 1 : คำวินิจฉัยคุกคาม “ความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ” หรือไม่ ?
หลักนิติศาสตร์ขั้นพื้นฐานที่นักกฎหมายทุกคนทราบดีคือ รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ บทบัญญัติของกฎหมายที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญย่อมใช้บังคับไม่ได้ ซึ่งหลักการนี้บัญญัติไว้ชัดเจนในมาตรา 6 แห่งรัฐธรรมนูญ หลักสำคัญอีก 2 ประการคือ หลักการตีความกฎหมายให้เชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ และหลักว่าบทบัญญัติที่เฉพาะเจาะจงย่อมเป็นข้อยกเว้นของบทบัญญัติทั่วไป
อย่างไรก็ดี ผู้ทำความเห็นไม่อาจแน่ใจได้ว่าศาลกำลังสร้างบรรทัดฐานการตีความกฎหมายที่ผิดเพี้ยน อีกทั้งละเมิดรัฐธรรมนูญและหลักนิติศาสตร์ขั้นพื้นฐานดังกล่าวเสียเองหรือไม่ ?
ผู้ทำความเห็นเห็นว่าคดีนายจตุพรเป็นเรื่องว่าด้วย “ความสิ้นสุดของความเป็น ส.ส.” ซึ่งบทบัญญัติที่ศาลต้องนำมาปรับใช้โดยตรงก็คือ รัฐธรรมนูญ มาตรา 106 แต่ศาลกลับนำ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายลำดับรองในเรื่องที่ว่าด้วย “ความสิ้นสุดของความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง” มา “ตีความคร่อมทับ” ให้มีค่าบังคับเหนือกว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 106 อย่างแปลกประหลาด
ผู้ทำความเห็นเห็นว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (5) กำหนดว่า “ความสิ้นสุดของความเป็น ส.ส.” นั้นให้นำไปโยงกับเรื่อง “ลักษณะต้องห้ามมิให้สมัครเป็น ส.ส.” ตามมาตรา 102 ซึ่งมาตรา 102 (3) ก็ได้โยงต่อไปยังมาตรา 100 โดยเป็นเรื่อง “ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง” แต่ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญก็ได้กำหนดไว้โดยเจาะจงว่าให้นำ “ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง” เฉพาะกรณีมาตรา 100 (1) (2) และ (4) มาใช้กับ “ความสิ้นสุดของความเป็น ส.ส.” เท่านั้น
กล่าวอย่างตรงไปตรงมาก็คือ รัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (5) ประกอบกับมาตรา 102 (3) ได้บัญญัติข้อยกเว้นไว้ว่า แม้นายจตุพรจะถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาลก็ตาม แต่การถูกคุมขังดังกล่าว (ที่มิได้ต้องโทษจำคุก) ก็มิได้เป็นลักษณะต้องห้ามที่นำไปสู่ “ความสิ้นสุดของความเป็น ส.ส.” ของนายจตุพรแต่อย่างใด
ความน่ากังขาก็คือคดีนี้ศาลได้มุ่งตีความรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (4) และนำเรื่อง “ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง” ไปปะปนกับเรื่อง“ความสิ้นสุดของความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง” โดยที่ไม่ได้นำบทบัญญัติและเจตนารมณ์ตามมาตรา 106 (5) ที่กำหนดข้อยกเว้นเรื่อง “ความสิ้นสุดของความเป็น ส.ส.” มาพิจารณาให้ถี่ถ้วนหรือไม่ ?
เรื่องนี้ศาลอธิบายว่า แม้รัฐธรรมนูญ มาตรา 102 (3) ไม่กำหนดให้ “การถูกคุมขัง” เป็นลักษณะต้องห้ามไม่ให้สมัครรับเลือกตั้ง แต่การสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. กับการไปใช้สิทธิเลือกตั้งเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นก่อนและหลังต่างเวลากัน แม้ว่าบุคคลที่ถูกคุมขังโดยหมายของศาลมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง อันไม่เป็นลักษณะต้องห้าม แต่การพิจารณาการสิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. เป็นคนละกรณีกัน (นอกจากนี้ยังอาจมีบางฝ่ายอ้างต่ออีกว่าคำร้องที่ส่งมาจากประธานสภาผู้แทนราษฎรในคดีนี้ได้ขอให้ศาลตีความ “ความสิ้นสุดของความเป็น ส.ส.” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 100 (3) และ 106 (4) เท่านั้น มิได้กล่าวถึงมาตรา 106 (5) หรือ 102 (3) แต่อย่างใด)
คำอธิบายเช่นนี้มิอาจรับฟังได้ เพราะนอกจากเป็นการนำเรื่อง “ลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้ง” มาปะปนกับ “ความสิ้นสุดลงของความเป็น ส.ส.” แล้ว ยังเป็นการผิดหลักการตีความกฎหมาย โดยการตีความรัฐธรรมนูญนั้นจะตีความเพ่งเล็งเฉพาะบางมาตราไม่ได้ แต่จะต้องตีความเชื่อมโยงรวมกันทั้งระบบ โดยเฉพาะในคดีนายจตุพรนั้นศาลไม่อาจตีความมาตรา 106 (4) โดยปราศจากมาตรา 106 (5) ได้เลย เพราะต่างเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “ความสิ้นสุดของความเป็น ส.ส.” ที่เกี่ยวโยงกับประเด็น “การถูกคุมขัง” ตามมาตรา 100 (3) ด้วยกันทั้งสิ้น
อีกทั้งยังเป็นตรรกะที่ผิดมาตรฐานมโนสำนึก เพราะหากศาลยอมรับว่ามาตรา 102 (3) ไม่ได้กำหนดให้ “การถูกคุมขัง” เป็นลักษณะต้องห้ามไม่ให้สมัครเป็น ส.ส. กล่าวคือ “ผู้ถูกคุมขัง” ย่อมสมัครเป็น ส.ส. ได้ แล้วเหตุไฉนศาลจึงมองว่ากฎหมายกลับสร้างมาตรฐานที่ขัดแย้งกันว่า “ผู้ถูกคุมขัง” ย่อมสิ้นสภาพความเป็น ส.ส. ?
ยิ่งไปกว่านั้นการยกกฎหมายลำดับรองขึ้นอ้างในคดีนี้ก็เป็นการยกอ้างกฎหมายที่มีปัญหา เพราะบทบัญญัติใน พ.ร.ป. ที่ศาลอ้างมาปรับใช้ในคดีนี้ ไม่ว่าจะเป็นมาตรา 8 ก็ดี มาตรา 19 ก็ดี หรือมาตรา 20 ก็ดี กลับไม่มีส่วนใดที่บัญญัติเจาะจงให้ “การถูกคุมขัง” เป็นเหตุของ “ความสิ้นสุดของความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง” อันนำไปสู่ “ความสิ้นสุดลงของความเป็น ส.ส.”
พ.ร.ป. มาตรา 8 เพียงแต่บัญญัติว่า “ความสิ้นสุดของความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง” มีเหตุมาจากการมี “เหตุต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ” ซึ่งหากกลับไปพิจารณาเรื่องที่เป็นประเด็นแห่งคดีคือเรื่อง “ความสิ้นสุดของความเป็น ส.ส.” จะพบว่ารัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (5) ได้ยกเว้นอย่างเจาะจงมิให้นำเรื่อง “การถูกคุมขัง” มาเป็นเหตุของ “ความสิ้นสุดของความเป็น ส.ส.” ได้ จึงเป็นการยืนยันว่า พ.ร.ป. มาตรา 8 เป็นกฎหมายที่มิได้บัญญัติเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับ “ความสิ้นสุดของความเป็น ส.ส.” และมิอาจถูกตีความให้ขัดแย้งกับบทบัญญัติที่ยกเว้นเหตุไว้โดยเฉพาะเจาะจงในรัฐธรรมนูญได้
ดังนั้น การที่ศาลอธิบายว่าการนำกฎหมายมาตีความประกอบรัฐธรรมนูญ เช่น เรื่องสัญชาติ ก็ต้องเป็นไปตาม พ.ร.บ.สัญชาติ เพราะรายละเอียดต่างๆไม่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องนำกฎหมายอื่นมาประกอบการวินิจฉัยเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามเจตนารมณ์อย่างแท้จริงนั้น ก็เป็นคำอธิบายที่ถูกต้อง เพียงแต่ไม่สามารถนำมาใช้ในคดีนี้ได้ เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (5) ได้กำหนดยกเว้นมิให้นำ “การถูกคุมขัง” มาเป็นเหตุของ “ความสิ้นสุดลงของความเป็น ส.ส.” โดยเฉพาะเจาะจงไว้แล้ว
ที่สำคัญที่สุดหากศาลตีความรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (4) โดยไม่คำนึงถึงมาตรา 106 (5) แต่กลับนำกฎหมายลำดับรองคือ พ.ร.ป. มาตีความ “คร่อมทับ” เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติความเป็นสมาชิกพรรคการเมืองแล้วไซร้ ก็เท่ากับว่าศาลได้ตีความให้กฎหมายลำดับรองในชั้น พ.ร.ป. ไปขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (5) ซึ่งเป็นการตีความกฎหมายและใช้อำนาจหน้าที่ในทางที่ละเมิดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 อย่างปฏิเสธไม่ได้
อนึ่ง หากผู้ใดอาศัยหลักนิติตรรกศาสตร์เบื้องต้นก็อาจสรุปความเชื่อมโยงของกฎหมายทั้งหมดได้ว่า ในเมื่อ:
- รัฐธรรมนูญ มาตรา 101 (3) กำหนดว่าผู้ที่จะสมัครเป็น ส.ส. ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
- รัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (4) ประกอบ 101 (3) กำหนดว่าผู้ที่เป็น ส.ส. ต่อไปต้องยังคงเป็นสมาชิกพรรคการเมืองต่อไป
- รัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (5) ประกอบ 102 (3) กำหนดว่าผู้ที่เป็น ส.ส. แล้วแม้จะถูกคุมขัง (แต่มิได้ต้องโทษจำคุก) ก็ยังเป็น ส.ส. ต่อไปได้
จึงพึงสรุปว่า
บุคคลที่ถูกคุมขัง (แต่มิได้ต้องโทษจำคุก) ย่อมยังคงเป็นสมาชิกพรรคการเมืองและเป็น ส.ส. ได้ และการตีความ พ.ร.ป. มาตรา 8 จึงนำไปเชื่อมโยงได้กับรัฐธรรมนูญ มาตรา 100 (1) (2) และ (4) เท่าที่ไม่ขัดต่อมาตรา 106 (5) เท่านั้น
ดังนั้น การตีความกฎหมายในคดีนายจตุพรจึงน่ากังขาเป็นอย่างยิ่งว่าศาลได้ตีความกฎหมายโดยขัดต่อหลักความเป็นกฎหมายสูงสุดของรัฐธรรมนูญ ขัดต่อหลักการตีความกฎหมายให้เชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ และขัดต่อหลักว่าบทบัญญัติที่เฉพาะเจาะจงย่อมเป็นข้อยกเว้นของบทบัญญัติทั่วไปหรือไม่ ?
คำถามที่ 2 : คำวินิจฉัยคุกคาม “สิทธิเสรีภาพ” หรือไม่ ?
ความน่ากังวลอีกประการจากการตีความในคดีนี้ก็คือ ศาลกำลังตีความรัฐธรรมนูญไปในทางที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างกว้างขวางหรือไม่ ?
รัฐธรรมนูญ มาตรา 65 เป็นบทบัญญัติที่คุ้มครองให้บุคคลมีเสรีภาพในการ “ดำเนินกิจกรรมในทางการเมือง” ซึ่งย่อมหมายความรวมถึงการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองและการลงสมัครเป็น ส.ส. ดังนั้น การจะตีความกฎหมายใดย่อมต้องตีความอย่างระมัดระวัง กล่าวคือ การตีความกฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพย่อมต้องเป็นไปเท่าที่จำเป็นเท่านั้น จะตีความกฎหมายให้จำกัดสิทธิเสรีภาพอย่างกว้างขวางมิได้เป็นอันขาด
หากลองพิจารณารัฐธรรมนูญ มาตรา 100 (3) ที่กำหนดให้ “การถูกคุมขัง” เป็น “เหตุห้ามมิให้บุคคลไปใช้สิทธิเลือกตั้ง” จะพบว่าจำเป็นและสมเหตุสมผล เพราะมิเช่นนั้นในวันเลือกตั้งก็จะเป็นวันที่ผู้บังคับใช้กฎหมายไม่อาจคุมขังผู้ต้องหาหรือผู้กระทำความผิด แม้แต่ผู้ที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งซึ่งหน้าได้ อีกทั้งกฎหมายก็บัญญัติยกเว้นมิให้ “การถูกคุมขัง” ในวันเลือกตั้งไปตัดสิทธิบุคคลในการเป็น ส.ส. ตามมาตรา 106 (5) อีกด้วย
อย่างไรก็ดี การที่ศาลตีความโดยนำ “เหตุห้ามมิให้บุคคลไปใช้สิทธิเลือกตั้ง” ไปปะปนกับ “ความสิ้นสุดของความเป็น ส.ส.” นอกจากอาจจะขัดแย้งต่อหลักการตีความกฎหมายตามที่อธิบายมาแล้ว ยังเป็นการเปิดช่องให้มีการใช้อำนาจรัฐในระดับที่ต่ำกว่ารัฐธรรมนูญมาจำกัดตัดสิทธิประชาชนทั่วไปได้โดยง่ายอีกด้วย
กล่าวคือ ศาลได้ตีความว่าผู้ใดที่ “ถูกคุมขัง” ย่อมสิ้นสภาพการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองและย่อมสิ้นสมาชิกภาพความเป็น ส.ส. เช่นกัน แต่ประเด็นที่ต้องขบคิดต่อไปคือการนำเหตุ “การถูกคุมขัง” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 100 (3) มาใช้จำกัดเสรีภาพทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 65 นั้นศาลหมายความถึงเฉพาะ “การคุมขังในวันเลือกตั้ง” เท่านั้นหรือไม่
หากลองพิจารณา “เหตุห้ามมิให้บุคคลไปใช้สิทธิเลือกตั้ง” อื่นตามมาตรา 100 เช่น มาตรา 100 (1) การเป็นภิกษุ สามเณร หรือมาตรา 100 (4) เรื่องการเป็นบุคคลวิกลจริตแล้ว ย่อมเข้าใจได้ว่า พ.ร.ป. มาตรา 8 มุ่งหมายให้นำลักษณะต้องห้ามดังกล่าวมาใช้โดยไม่จำเป็นว่าจะมีลักษณะต้องห้ามในวันเลือกตั้งเท่านั้นหรือไม่ เช่น หากสมาชิกพรรคการเมืองใดกลายเป็นบุคคลวิกลจริต แม้จะเป็นช่วงที่ไม่ใช่วันเลือกตั้ง ก็ย่อมสิ้นความเป็นสมาชิกพรรคการเมือง โดยผลของ พ.ร.ป. มาตรา 8
ด้วยเหตุนี้การตีความของศาลที่รวบรัดเอา “การถูกคุมขัง” ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 100 มาเป็นเหตุในการจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชนโดยโยงเข้ากับ พ.ร.ป. มาตรา 8 นั้น ซึ่งอาจกินความเกินไปกว่าวันเลือกตั้ง จึงมีผลพวงที่น่ากังขาอย่างยิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นคำว่า “คุมขัง” มีความหมายทางกฎหมายที่กว้าง เห็นได้จากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (12) ซึ่งนิยามคำว่า “คุมขัง” ว่าหมายความว่า “คุมตัว ควบคุม ขัง กักขัง หรือจำคุก” ซึ่งย่อมเกิดผลที่แปลกประหลาดตามมาว่าการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย หากเพียงได้ “คุมตัว ควบคุม หรือขัง” ประชาชน ซึ่งอาจหมายถึงว่าไม่ว่าในวันใดก็จะสามารถส่งผลเป็นการจำกัดเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชนคนธรรมดาทั่วไปที่ประสงค์เป็นสมาชิกพรรคการเมืองเพื่อดำเนินกิจกรรมทางการเมืองจนเกินเลยไปกว่าความจำเป็นเหมาะสมตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ?
นอกจากนี้หากการจำกัดสิทธิเสรีภาพดังกล่าวถูกตีความให้กระทำได้โดยง่ายแต่เพียงนี้ก็อาจเป็นโอกาสให้มีการใช้อำนาจกฎหมายในทางที่มิชอบ ฝ่ายการเมืองอาจอาศัยช่องทางตามกฎหมายฉุกเฉิน หรือแม้แต่กฎหมายของเจ้าหน้าที่ทั่วไปในการเข้า “คุมตัว ควบคุม หรือขัง” บุคคลหรือ ส.ส. นอกสมัยประชุม เพื่อคุกคามศัตรูทางการเมืองและนำบรรทัดฐานของคดีนายจตุพรมาเป็นเงื่อนไขในการปิดกั้นผู้ที่จะมาแข่งขันทางการเมืองก็เป็นได้
ดังนั้น จึงน่ากังขาเป็นอย่างยิ่งว่าศาลรัฐธรรมนูญซึ่งมีหน้าที่คุ้มครองสิทธิเสรีภาพกำลังตีความ พ.ร.ป. มาตรา 8 ประกอบกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 100 จนกลายเป็นการเปิดช่องให้มีการใช้อำนาจรัฐคุกคามสิทธิเสรีภาพของประชาชนและคู่แข่งทางการเมืองหรือไม่ ?
คำถามที่ 3 : คำวินิจฉัยคุกคาม “หลักการแบ่งแยกอำนาจ” หรือไม่ ?
แม้ศาลมีบทบาทสำคัญในการตรวจสอบถ่วงดุลมิให้ประชาชนได้ ส.ส. ที่ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามก็ตาม แต่ในขณะเดียวกันหากศาลกลายเป็นสถาบันที่มุ่งหมายปราบปรามนักการเมืองที่ศาลอาจมองว่าเป็นผู้ที่ต่ำกว่ามาตรฐานทางจริยธรรมของศาลเสียแล้ว (ดังเช่นกรณีการตีความคดีคุณสมัคร ชิมไปบ่นไป) หรือตีความกฎหมายเรื่องเดียวกันแต่กลับผิดมาตรฐานอย่างอธิบายไม่ได้ (ดังเช่นกรณีไม่ยุบพรรคประชาธิปัตย์) การเมืองการปกครองของประเทศชาติก็จะเกิดความโกลาหล เพราะอำนาจที่ยึดโยงโดยตรงกับประชาชนกลับถูกอำนาจตุลาการตีความกฎหมายอย่างแปลกประหลาด ก่อให้เกิดผลที่ยากต่อการอธิบาย ไม่ว่าในทางนิติศาสตร์หรือโดยมาตรฐานมโนสำนึกของปุถุชนธรรมดาที่ไม่มีโอกาสคัดเลือกหรือวิพากษ์วิจารณ์ศาลได้โดยง่าย
จึงน่าคิดเป็นอย่างยิ่งว่าหากประชาชนเกิดความกังวลว่าบัดนี้อำนาจอธิปไตยไม่อาจนำมาใช้ได้อย่างสมดุลแล้ว หากจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในอนาคตอันใกล้ ประชาชนจะร่วมกันปฏิรูปอำนาจตุลาการและคืนความสมดุลแก่อำนาจอธิปไตยได้อย่างไร ?
บทส่งท้าย
การวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลดังเช่นความเห็นฉบับนี้ที่ประกอบขึ้นในวันเดียวกันกับวันที่ศาลอ่านคำวินิจฉัยนั้นมักจะถูกวิจารณ์ต่ออีกชั้นว่าผู้ที่วิจารณ์เองก็ควรได้อ่านคำวินิจฉัยทั้งหมดเสียก่อน แต่ก็น่าคิดต่อว่าในเมื่อกฎหมายกำหนดให้ตุลาการแต่ละท่านต้องทำคำวินิจฉัยส่วนตนให้เสร็จสิ้น “เป็นหนังสือ...ก่อนลงมติ” อีกทั้งยังกำหนดให้คำวินิจฉัย “มีผลในวันอ่าน” กฎหมายย่อมมุ่งหมายให้คำวินิจฉัยทั้งของศาลและตุลาการแต่ละท่านต้องทำเสร็จสิ้นพร้อมเผยแพร่ในวันอ่านใช่หรือไม่ ?
การเปิดเผยคำวินิจฉัยทันทีหลังอ่าน นอกจากจะสมเจตนารมณ์กฎหมายแล้ว ยังเป็นการส่งเสริมให้ศาลต้องทำคำวินิจฉัยอย่างละเอียดถี่ถ้วน อีกทั้งป้องกันไม่ให้ศาลหรือตุลาการมีโอกาสปรับแก้ถ้อยคำหรือปรับปรุงเหตุผลหลังจากได้ทราบความเห็นของประชาชนที่ฟังคำวินิจฉัย ที่สำคัญการเปิดเผยอย่างครบถ้วนยังทำให้ประชาชนได้นำความเห็นของตุลาการเสียงข้างน้อยมาเป็นน้ำหนักถ่วงดุลความชอบธรรมของคำวินิจฉัยไปพร้อมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เสียงข้างมากอธิบายแต่เหตุผลของฝ่ายตนในคำวินิจฉัยกลาง โดยไม่ใส่ใจที่จะหักล้างเสียงข้างน้อยตามมาตรฐานทางกฎหมายที่พึงมี และใช้เวลานานกว่าจะเปิดเผยความเห็นจนประชาชนเสียงข้างน้อยก็ถูกเสียงข้างมากกลบทับไปหมดเสียแล้ว
ดังนั้น เมื่อศาลทราบดีว่าประชาชน ตลอดจนสื่อมวลชนและนักวิชาการต่างให้ความสนใจต่อคดีรัฐธรรมนูญอันพึงถูกวิพากษ์วิจารณ์ตามครรลองประชาธิปไตยปรกติ แต่ศาลกลับไม่เผยแพร่คำวินิจฉัยทันทีหลังอ่านตามความมุ่งหมายของกฎหมายและหลักกระบวนการยุติธรรมสากล ก็พึงพินิจว่าควรเป็นศาลเองมิใช่หรือที่จะต้องร่วมรับผิดชอบพร้อมกับประชาชน กับการวิพากษ์วิจารณ์ที่พึงจะเกิดขึ้นตามครรลองประชาธิปไตย ? และเมื่ออำนาจตุลาการคืออำนาจแห่งเหตุผลที่คุ้มครองประชาชนจากทรราช จึงควรเป็นความรับผิดชอบของนักนิติศาสตร์ โดยเฉพาะผู้รับเงินภาษีประชาชนมิใช่หรือที่จะต้องทำหน้าที่ตรวจสอบศาลแทนประชาชนอย่างแข็งขันและโดยสุจริตใจ ?
หากคำวินิจฉัยของศาลถูกตรวจสอบโดยการวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ คำวินิจฉัยนั้นก็จะกลับมาเป็นภาพหลอนต่อสถาบันศาลและรัฐธรรมนูญเสียเอง