ถอดคำพูดในรายการเหลียวหลังแลไปข้างหน้าเพื่อประชาธิปไตย ตอน...การตีโจทย์ประเทศไทย

บทความประจำสัปดาห์ 29 พฤษภาคม 2555
โดย ธิดา ถาวรเศรษฐ ....




สาเหตุที่มาของการปรองดองที่แตกต่างกันแล้วนำมาสู่การตีความหรือการพูดในลักษณะแตกต่างกัน  ต้องนำมาสู่รากเหง้าซึ่งอยากสรุปว่าเป็นการตีโจทย์ผิด มองโจทย์ไม่ตรงกัน ตีโจทย์ของสังคมคนละอย่างกัน ประการแรกคือจับคู่ขัดแย้งหลักของสังคมไม่เหมือนกัน ประการที่สองต้องถามว่ารัฐไทยขณะนี้การปกครองเป็นระบบอะไร ถ้ามุมมองต่อสองเรื่องนี้ไม่เหมือนกันก็จะนำมาสู่ความคิดและการกระทำที่นำไปสู่การปรองดองที่แตกต่างกัน 
ยกตัวอย่างเช่น การจับคู่ขัดแย้งหลักในสังคมไทย โดยทั่วไปในกลุ่มชนชั้นนำในสังคมแม้กระทั่งนักการเมืองทั้งหลายก็ต้องจัดเป็นชนชั้นนำเหมือนกัน กลุ่มบุคคลที่มีระดับมีฐานะนำในสังคมเป็นชนชั้นกลางขึ้นไปจนถึงชนชั้นสูง ยกเว้นชนชั้นกลางส่วนหนึ่งที่พอจะก้าวหน้า ก็จะมองว่าคู่ขัดแย้งหลัก (คุณทักษิณกับพลเอกเปรม ติณสูลานนท์) ดีกันแล้วจบเป็นการปรองดอง ในสังคมไทยเอาเรื่องบุคคลมากกว่าหลักการ ไม่ว่าจะอยู่ฝั่งประชาธิปไตยหรือฝั่งเอารัฐประหารก็ตาม ถ้าเป็นฝั่งเครือข่ายระบอบอำมาตย์ก็จะมองว่าทุกอย่างที่เลวร้ายในสังคมไทยเกิดจากคุณทักษิณคนเดียว เพราะมีวิธีคิดแบบนี้สิ่งที่จะกระทำก็คือ
1. ลอบฆ่า
2. จัดการทางคดี เช่น ต้องคิดคุก
3. จัดการทางทรัพย์สินคือต้องยึดทรัพย์
4. จัดการทางฐานคือพรรคการเมือง คือ ยุบพรรค
เพราะฉะนั้นเขาทำกับคุณทักษิณครบทุกอย่าง ถามว่าแล้วเป็นอย่างไร แก้ปัญหาได้ไหม 
ในฝั่งประชาธิปไตยไม่เอารัฐประหารที่คิดว่าคู่ขัดแย้งหลักมีไหมจึงมีความพยายามให้เกิดเกมยอดปิรามิด ก็คือการเจรจาระหว่างชนชั้นนำ แต่เราเข้าใจว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของคนทั้งประเทศ และชนชั้นนำในสังคมไทยสามารถอยู่ได้ถ้าอยู่ในที่ทางที่ถูกต้อง กำหนดบทบาทให้เหมาะสมให้สอดคล้องความเป็นจริงแห่งยุคสมัย สอดคล้องกับความถูกต้อง กับตำแหน่งแห่งหนที่ควรจะอยู่ พูดง่าย ๆ คือคืนอำนาจให้ประชาชน 
ด้วยเหตุนี้วิธีคิดของเรื่องคำว่าปรองดองจึงได้เกิดขึ้นด้วยการเจรจาเป็นด้านหลัก การเจรจาต้องมีดุลกำลังที่เหมาะสม ในภาพการต่อสู้ของประชาชนการเจรจาจะเกิดขึ้นได้ต้องมีหลักการประการแรกคือดุลกำลังสองข้างยันกันได้ อยู่ในดุลกำลังที่เหมาะสม ถ้าดุลกำลังข้างใดข้างหนึ่งชนะเด็ดขาดเขาไม่มีการเจรจา จะใช้วิธีบดขยี้โดยกำลังทหารอย่างที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะทำกับคนเสื้อแดงมาแล้ว
คำว่าการปรองดองเป็นทั้งเป้าหมายและกระบวนการ สำหรับคนเสื้อแดงเราพูดในลักษณะเป็นเป้าหมาย  เพราะกระบวนการมันยาวนานเราต้องการการปรองดองที่ยั่งยืนและแท้จริง ประชาชนต้องเอาการปรองดองเป็นเป้าหมายไม่ต้องการการปรองดองแบบเล่น ๆ แต่ในหมู่ชนชั้นนำอาจจะใช้การปรองดองเป็นกระบวนการ แต่ไม่รู้เป้าหมายจริงไม่ปรองดองหรือเปล่า บางทีเขาไม่ต้องการการปรองดองแต่ภายในใจนั้นคนละเรื่อง ประเภทปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ นี่จึงเป็นความแตกต่างระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครอง แตกต่างระหว่างชนชั้นนำกับประชาชนทั่วไป 
โจทย์ข้อที่สอง คุณตีโจทย์ว่ารัฐไทยขณะนี้ปกครองด้วยระบอบอะไร ? มีประชาธิปไตยแล้ว มีความยุติธรรมแล้วหรือ ? ถ้าหลายคนถือว่าเป็นประชาธิปไตยแล้วประชาชนไม่ต้องต่อสู้ “จบ” นี่คือวิธีคิด แต่คนเสื้อแดงทุกคนรู้ว่านี่ไม่ใช่
เราตีโจทย์ต่างจากกลุ่มคนชั้นนำ เรามองว่าคู่ขัดแย้งหลักคือประชาชนไทย ที่ต้องการประชาธิปไตย  ต้องการอำนาจอธิปไตยคืนกลับมา ขัดแย้งกับเครือข่ายระบอบอำมาตย์ที่หวงอำนาจ ไม่คืนอำนาจให้ประชาชน ปล้นอำนาจประชาชนไป เวลาที่คุณทักษิณพูดเรื่องการปรองดองเรื่องการบริหารประเทศเราก็ฟัง แต่เรารู้ว่าตัวหลักคือประชาชน จะปรองดองหรือไม่อยู่ที่ประชาชน คุณทักษิณเป็นส่วนหนึ่งของประชาชนเท่านั้น ถ้าเราเข้าใจว่าคู่ขัดแย้งหลักไม่ใช่คุณทักษิณ แต่เป็นประชาชนทั้งหมด เราก็ไม่รู้สึกว่ามันจะมีปัญหาอะไรมาก เพราะคุณทักษิณเป็นคนคนหนึ่งในกระบวนแถวของประชาชนทั้งหมดที่ต่อสู้กับระบอบอำมาตย์ แต่ทั้งหมดนี้เขาเติบโตจนเขารู้ว่าประเทศนี้ถ้าไม่เป็นประชาธิปไตย ถ้าประเทศนี้ไม่มีความยุติธรรม คุณทักษิณกลับมาไม่ได้ ทุกคนต้องการเอาคนผิดมาลงโทษและอยากให้คุณทักษิณกลับมาด้วย 
ประเทศไทยฆ่ากันตายมาหลายรอบแล้ว ผู้ปกครองชิงกระทำให้ฝ่ายหนึ่งบอบช้ำ ฝั่งที่ถูกกระทำคือประชาชนติดคุกติดตารางสุดท้ายนิรโทษกรรม เลิกแล้วต่อกันทั้งหมดทุกครั้ง แล้วฝั่งที่ถูกกระทำก็ยอมสยบเพราะอยากให้พวกของตัวเองนั้นจะได้หลุดออกมาจากเรือนจำเสียที เพราะฉะนั้นคนที่ชิงกระทำความรุนแรงก็เลยได้เปรียบและมีอำนาจในสังคมไทยเสมอมาจนถึงปัจจุบันนี้
ดังนั้นการตีโจทย์ผิดจึงนำมาสู่วิธีพูด วิธีคิด วิธีตีความที่แตกต่างกัน ขอฝากไปยังพรรคเพื่อไทยว่าในประเด็นการร่างรัฐธรรมนูญหนึ่ง การปรองดองหนึ่ง เราไม่รู้ว่าคุณเขียน พรบ. อย่างไร คุณถามประชาชนบ้างหรือเปล่า แล้วแน่ใจอย่างไรว่าออกมาแล้วประชาชนจะไม่ว่าอะไร ควรทำความเข้าใจว่า ไม่ใช่ว่าประชาชนเลือกมาแล้วจะรับเหมาทำแทนประชาชนได้หมด เพราะว่านี่คือการต่อสู้อีกขั้นตอนของประชาชน โดยเฉพาะประเด็น พรบ.ปรองดอง ควรสอบถามประชาชนให้ได้มีโอกาสเสนอความคิดเห็น  และที่สำคัญประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้ความจริงปรากฎและนำคนผิดมาลงโทษ ไม่ควรมีการนิรโทษกรรมยกเข่ง เพราะนั่นจะเป็นการวางระเบิดลูกใหญ่ในสังคมไทยทีเดียว !!!