มติชน 31 พฤษภาคม 2555 >>>
เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ที่โรงแรมรามาการ์เด้นส์ กรุงเทพฯ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี สไกป์มาร่วมพูดคุยในงานครบรอบ 5 ปี สมาชิก 111 พ้นจากโทษห้ามเกี่ยวข้องและดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีสาระสำคัญดังนี้
วันนี้อยากขอทบทวนความจำในวันที่เราถูก ยุบพรรค ผมส่งสารมายังพวกท่านขออ่านให้ฟังอีกครั้ง เมื่อ 5 ปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2550
"กราบเรียนพี่น้องประชาชนและสมาชิก พรรคไทยรักไทยทุกท่าน จากคำตัดสินของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญที่แต่งตั้งโดยคณะปฏิวัติ ให้ยุบพรรคไทยรักไทยและห้ามผมและสมาชิกพรรคทั้ง 111 คน ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ในฐานะที่ผมเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งพรรค ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคจนมาถึงการปฏิวัติ ผมต้องกล่าวขออภัยต่อสมาชิกและกรรมการบริหารและผู้สนับสนุนพรรคทุกท่าน ที่ต้องพบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ผมขอน้อมรับสิ่งที่เกิดขึ้นที่ทำให้พรรคมาพบจุดนี้ ผมเชื่อว่าการตัดสินทางการเมืองครั้งนี้ จะเป็นประวัติศาสตร์ทางการเมืองที่จะต้องนำไปศึกษาวิชาการและวิจัย ในทางรัฐศาสตร์ กฎหมาย สังคมศาสตร์และเศรษฐศาสตร์ไปจนชั่วลูกหลาน
เราทุกคนมีความสำนึกในแผ่นดินเกิด มีความรักและห่วงใยเพื่อนร่วมชาติที่ยังไม่แข็งแรงทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม เรายังต้องเสียสละกันต่อไป แม้ว่าผมจะประกาศวางมือไปก่อนหน้านี้แล้วก็ยังอยากให้สมาชิกทั้งหลายได้รวม ตัวเดินหน้ากิจกรรมทางการเมืองเพื่อประโยชน์ประเทศชาติและประชาชนต่อไป โดยเรียนรู้จากบทเรียนในอดีตเก็บสิ่งที่ดีๆ ไว้ เพื่อไม่ให้หันหลังให้โลก เพื่ออนาคตลูกหลานไทยต่อไป ผมขอกราบขอบพระคุณและขออภัย มา ณ ที่นี้อีกครั้ง และขอเรียกร้องให้ คมช. รัฐบาลที่น่าจะสบายใจแล้ว ได้จัดการเลือกตั้งและคืนประชาธิปไตยให้กับประชาชนโดยเร็ว เพื่อให้ความเชื่อมั่นและศักดิ์ศรีประเทศกลับคืนมาอีกครั้ง ด้วยความเคารพรัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร"
นี่คือสิ่งที่ผมพูดไว้ เมื่อ 5 ที่แล้ว วันนี้ขอขอบคุณทั้ง 50 ท่าน ณ ที่นี้ว่า เรายังรวมใจกันทำกิจกรรมทางการเมืองเพื่อบ้านเมืองกันอย่างต่อเนื่อง ผมมีความเห็นใจหลายท่านที่ได้ตัดสินใจสละอาชีพเดิมเพื่อมาสู่การเมือง ตั้งหน้าตั้งตาทำการเมือง อาทิ ท่านพงศ์เทพ เทพกาญจนา ที่สละอาชีพผู้พิพากษา หากยังอยู่คงไปถึงผู้พิพากษาศาลฎีกาแล้ว ซึ่งท่านได้เสียสละ แล้วก็อีกหลายๆ ท่านก็เช่นกัน
แต่ 5 ปีที่ผ่านมา ทำให้พวกท่านต้องเสียสละเวลามาทำการเมือง เพื่อบ้านเมือง โดยไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใดๆ ไม่มีค่าตอบแทนใดๆ แต่ท่านไม่ได้ทิ้งการเมือง ยังทุ่มเท ผมขอชื่นชมในอุดมการณ์ แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต มันเป็นการปฏิวัติรัฐประหารครั้งแรกที่ปฏิวัติรัฐบาลที่มีความนิยมสูงสุด ส่วนใหญ่รัฐบาลที่ถูกปฏิวัติจะเป็นรัฐบาลที่ไม่มีความนิยมแล้ว แต่ของเรากำลังมีความนิยมสูงมากแต่ถูกรัฐประหารออกไป
การรัฐประหาร โดยใช้กำลังทหารยังไม่เพียงพอ จึงมีการปฏิวัติซ้อนที่ใช้กระบวนการการทางยุติธรรมมาดำเนินการต่อให้แล้ว เสร็จ แต่ทำไม่เสร็จ เพราะประชาชนเป็นผู้ตัดสิน จะมีการเลือกตั้งกี่ครั้ง พวกเราก็ชนะเลือกตั้ง เราเดินทางการเมืองมาจากไทยรักไทย มาเป็นพลังประชาชน จากพลังประชาชนเกิดมาเป็นพรรคเพื่อไทย และวันนี้ประชาชนก็เลือกมาเกินกึ่งหนึ่ง
ผมได้พบกับผู้นำทางการเมือง ในหลายๆ ประเทศ ท่านรู้หรือไม่ว่า เขารู้เราดีกว่าที่เรารู้ตัวเองด้วยซ้ำ สถานทูตหลายประเทศเขาทำโพลว่าคนไทยคิดอย่างไรกับพวกเรา คนไทยคิดอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ขอให้เราเป็นเหยื่อทางการเมืองที่ควรจะพอได้แล้ว บ้านเมืองต้องเดินหน้าต่อไป
บ้านเมืองจะต้องทันโลก
วันนี้ผมเป็นห่วงมาก เป็นห่วงตัวเลขทั้งหลาย หลายอย่างที่เกิดในประเทศ วันนี้ผมทราบว่ามีเงินสำรอง 163 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่เรามีหนี้เงินบาทที่ไปกู้เขามา จากการขายเงินบาทเพื่อซื้อดอลลาร์ถึง 3.6 ล้านล้านบาท เมื่อหักลบกลบหนี้แล้ว แล้วการเก็งกำไรค่าเงินบาทก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเราขาดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการแก้ไขปัญหาประเทศ
ขณะนี้ เหตุการณ์ในโลกก็ยอมรับว่าที่จีนเติบโตช้ากว่าที่คาดไว้ก็น่าเป็นห่วง การเปิดประชาคมอาเซียนเราไม่มีความพร้อม ระบบการศึกษาไทยก็ยังอ่อนแอเหมือนเดิม สังคมยังมีปัญหา ยาเสพติดเต็มบ้านเต็มเมือง ขณะเดียวกันเรากำลังมุ่งเอาชนะคะคานกัน โดยไม่คำนึงถึงว่าลูกหลานเจริญเติบโตทุกวัน
หลายคนมองถึงตัวเอง มากกว่ามองบ้านเมืองในส่วนรวม หลายคนไม่ได้คิดว่าบ้านเมืองเราไม่ได้อยู่ตามลำพังคนเดียว และยังต้องประสบภาวการณ์กดดันจากนานาชาติ พม่าซึ่งมาทีหลังพอเริ่มเป็นประชาธิปไตยมาบ้างก็ได้รับความสนใจ
วันนี้ นางออง ซาน ซูจี มาเมืองไทยก็ได้รับความสนใจจากนานาชาติ เห็นไหมครับว่าโลกเปลี่ยนไปเยอะมาก แต่เรายังไม่เลิกที่จะเอาชนะคะคานกันทางการเมืองโดยไม่มีเหตุผล กติกาไม่เคยเคารพ คนรักษากติกาไร้ความเป็นธรรม เลยทำให้บ้านเมืองวุ่นวายจนถึงทุกวันนี้
ผมคิดว่าบทเรียนใน 5 ปีที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่เราไม่ควรฟื้นฝอยหาตะเข็บ ควรศึกษาเพื่อให้ว่าอย่าให้เกิดอีก มองไปข้างหน้าเถิด นี่คือสิ่งที่ผมบอกพี่น้องคนเสื้อแดงวันนั้น ผมอาจจะพูดไม่ชัด เพราะสัญญาณมันแย่มาก สัญญาณขาดบ้างอะไรบ้าง ผมเลยไม่มีสมาธิ ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยว่า (ยกมือไหว้) ผมเป็นคนกตัญญู ไม่เคยลืมบุญคุณ แม้กระทั่งคนให้น้ำกินแก้วเดียวก็ไม่ลืมบุญคุณคน แม้บุญคุณบางครั้งจะทำร้ายผม แต่ผมไม่เคยลืมบุญคุณคนที่มีบุญคุณกับผม พี่น้องคนเสื้อแดงผมไม่เคยลืมบุญคุณพวกท่าน และผมไม่เคยจะเอาตัวรอดโดยไม่มีพวกท่าน แม้จะมีบางคนเสี้ยมเพื่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่พวกเรา แต่หัวใจเราถักทอกันมานาน แม้เราจะถูกใส่ร้าย พวกเรายังอดทนรักใคร่กันดี
เมื่อผมกลับไปจะเปลี่ยนพลังคนเสื้อแดง ให้เป็นพลังที่สร้างเศรษฐกิจและสังคมให้ประเทศไทยให้มากกว่านี้อีกมาก พี่น้องคนเสื้อแดงที่เคารพ ผมไม่เคยลืม และผมไม่เคยทิ้งพวกเรา การเยียวยาที่เกิดขึ้นนั้นผมทำหลายอย่างมาก เพราะถือว่าเมื่อการสูญเสียเกิดขึ้นแล้วสิ่งสำคัญที่สุดคือการเยียวยา หลายครั้งหลายคราว ไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง 14 ตุลา หรือ 6 ตุลา ถ้าผมอยู่ในตำแหน่งจะทำให้เกิดการเยียวยาอย่างจริงจัง เพราะถือว่าวันนั้นคนเคราะห์ร้ายบางคน แม้เคราะห์ร้ายเขาควรได้รับการเยียวยา เพื่อความเจ็บปวดจะได้บรรเทาลงไปบ้าง และในที่สุดเราก็เป็นคนไทยด้วยกัน
บุคลากรทางการเมืองไทยไม่ได้มี มาก หากไม่รักษาบุคลากรทางการเมืองไว้ เราจะไม่มีพลังที่จะไปสู้กับต่างประเทศได้ วันนี้ถ้าเราได้บุคลากรที่มีคุณภาพ เราจะทำการเมืองที่สร้างสรรค์ ถ้าการเมืองโหดร้าย มันเหมาะกับคนที่ไม่มีอะไรจะเสียเข้ามา การเมืองเลือกพวกไม่มีกติกา คนไม่มีอะไรจะเสียพร้อมที่จะเข้ามาเอา ไม่ได้เข้ามาให้
วันนี้ประเทศต้องการความเสียสละ ต้องการนักการเมืองที่มีอุดมการณ์ หัวใจของนักประชาธิปไตยเป็นเรื่องสำคัญ หลายคนอ้างว่าเป็นนักประชาธิปไตย แต่หัวใจแอบอิงเผด็จการ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้น เราต้องยึดอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข โดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลาง
คำว่าประชาชนเป็นศูนย์กลางนั้น มี 2 ลักษณะ คือ 1.อำนาจอธิปไตยทั้ง 3 สาขา คือ บริหาร นิติบัญญัติและตุลาการ ต้องยึดโยงกับอำนาจประชาชน 2.การบริหารงานทุกอย่าง การออกนโยบายทุกอย่าง เพื่อความสันติสุขและความกินดีอยู่ดีของประชาชน หากยึดอุดมการณ์นี้ได้พี่น้องประชาชนจะมีความสุข ประเทศชาติจะก้าวหน้า โดยระบอบประชาธิปไตยของเราจะมีการถ่วงดุลกันอย่างเหมาะสม
วันนี้ เป็นเวลาที่พวกเราจะได้กลับมามีบทบาททางการเมือง เพื่อช่วยให้บ้านเมืองได้ก้าวหน้าไปในทางที่ดี ผมอยากขอเรียกร้องให้พวกเราทุกคน แม้ว่าจะเจ็บแค่ไหน จะช้ำแค่ไหน ขอให้ลืมอดีตแล้วมองไปข้างหน้าอย่างสร้างสรรค์ ทำการเมืองสร้างสรรค์เพื่อบ้านเมือง ทำการเมืองเพื่อสถาบันที่เคารพรัก
พี่น้องครับ อดีตมันเจ็บปวดก็จริงอยู่ แต่มันสอนอะไรเราเยอะ ผมเอง 6 ปี ระหกระเหินอยู่ในต่างประเทศ ผมเจ็บปวดไหม เจ็บปวด ลำบากไหมก็มี ผมปรับตัวได้ ได้เรียนรู้อะไรเยอะ ได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมากมาย มีเพื่อนเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ทำให้ผมเข้าใจการเมืองระหว่างประเทศมาก ขึ้น เข้าใจทุนนิยมระหว่างประเทศมากขึ้น ผมเข้าใจว่าประเทศไทยเราเสียเปรียบอะไร ควรวางตัวอย่างไร ปรับตัวอย่างไรในสถานการณ์ใดมากขึ้น และไม่มีอะไรที่มันเลวร้ายทั้งหมด มันก็มีทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี
แน่นอนว่าจะใช้ประโยชน์สิ่งดีได้ อย่างไร หลายคนก็แอบไปเรียนหนังสือจนจบดอกเตอร์ หลายคนแอบไปตีกอล์ฟ หลายคนไปฝึกไปเรียนภาษาต่างประเทศจีน หลายคนก็เพิ่มบ้านเพิ่มช่อง วันนี้เราจะกลับมาร่วมกันทำการเมืองเพื่อความแข็งแกร่งของพรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพื่อใครก็เพื่อประเทศไทย ขอให้พวกเราต้องอดทน เข้มแข็ง มีอุดมการณ์ และทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์ ลืมความเจ็บปวดในอดีต มองไปข้างหน้า เพื่ออนาคตของบ้านเมือง
ขอขอบคุณอีกครั้งและขออภัยที่ 5 ปีที่เราต้องไปเจ็บปวดกันหวังว่าต่อไปนี้จะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น