'ธาริต' โต้ 'สุเทพ' แจงยิบเหตุไม่ฟ้องจตุพร ม.112

ไทยรัฐ 25 พฤษภาคม 2555 >>>




ธาริต โต้ สุเทพ แจงยิบเหตุสั่งไม่ฟ้องจตุพร มาตรา 112 ใช้ตัวเองเป็นมาตรฐาน ยันสอบร่วมหลายฝ่ายแล้วไม่พบเจตนาหมิ่นสถาบัน ขณะคดี "ล้มเจ้า" ยังไม่ได้เลิกแต่แยกพวกเข้าข่ายออกต่างหาก 23 รายชื่อ

เมื่อวันที่ 24 พ.ค. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงกรณีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ยื่นเรื่องต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ และ พ.ต.อ.ประเวศน์ มูลประมุข รองอธิบดีดีเอสไอ ฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ และความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ตามประมวลกฎหมายอาญาว่า ตนไม่รู้สึกเสียใจหรือน้อยใจ เพราะยังมีความเคารพนายสุเทพตลอดมาและตลอดไป ท่านเป็นอดีตผู้บังคับบัญชาที่ดีคนหนึ่งของตน ในภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้นในปี 53 ท่านสุเทพและท่านอภิสิทธิ์ ได้ร่วมกันช่วยทำให้เหตุการณ์บ้านเมืองกลับมาสู่ภาวะปกติ ตนในฐานะผู้ใต้บังคับบัญชาขณะนั้นก็มีความชื่นชมและศรัทธา
สำหรับความเห็นกรณีคดีผังล้มเจ้า ตนเข้าใจดีว่า นายสุเทพ เป็นประธานคณะกรรมการคดีพิเศษ และได้นำเรื่องคดีผังล้มเจ้าเข้ามาเป็นคดีพิเศษตั้งแต่แรก ย่อมหมายความว่า ท่านมีความเชื่อว่าเรื่องนี้จะมีมูลความผิด และเมื่อเวลาผ่านไป 2 ปีเศษ ดีเอสไอมีความเห็นสั่งงดการสอบสวน ท่านสุเทพ ก็คงรู้สึกไม่สบายใจว่าความเชื่อของท่านที่มีเมื่อ 2 ปีก่อน เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นท่านจึงใช้สิทธิ์กล่าวโทษต่อ ป.ป.ช. ถึงการทำหน้าที่ของตน และ พ.ต.อ.ประเวศน์ ตนได้พูดหลายครั้งว่าคดีผังล้มเจ้า คือรายชื่อทั้ง 39 รายชื่อ ดีเอสไอร่วมกับอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้เห็นแล้วว่ามีบางรายชื่อเข้าข่าย การกระทำความผิดตามมาตรา 112 จริง จึงได้แยกคดีออกไปต่างหาก 23 รายชื่อ ไม่ใช่ล้มเลิกหรืองดการสอบสวน แต่มีการแยกออกมาดำเนินคดีเฉพาะราย
นายธาริต กล่าวอีกว่า ส่วนกรณีสั่งไม่ฟ้องนายจตุพร พรหมพันธุ์ จะพูดลงรายละเอียดเพื่อยืนยันและเอาตัวเองวัดว่าจะถูกดำเนินคดีหรือไม่ คำพูดของนายจตุพรกับพวก ถ้าฟังเพียงบริบทประโยคเดียวว่า กระสุนพระราชทาน จะชวนให้เข้าใจว่ากระทำผิดอาญา มาตรา 112 โดยการหมิ่นเบื้องสูงหรือสถาบัน เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดนี้ก็มีความไม่สบายใจ และตนก็รู้สึกเช่นเดียวกับสังคมเช่นกันว่านายจตุพร อาจกระทำความผิดตามมาตรา 112 ดีเอสไอจึงรับมาทำเป็นคดีพิเศษ เพราะพฤติการณ์ในขณะนั้นน่าเชื่อว่าอาจเข้าข่ายเป็นการทำความผิด ซึ่งการเริ่มดำเนินคดีต้องมีมูลเบื้องต้นไม่เช่นนั้นเราก็ทำคดีไม่ได้ ขณะนั้นตนมีความเห็นเบื้องต้นว่านายจตุพร อาจเข้าข่ายการกระทำความผิดจริง แต่ตนไม่เคยพูดที่ไหนว่าคำพูดของนายจตุพรกับพวกผิดกฎหมายอย่างแน่นอน เมื่อรับมาเป็นคดีแล้ว ก็สอบสวนตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น โดยมีพนักงานอัยการร่วมสอบสวน ในการจะให้ความเป็นธรรมและถูกต้อง จะต้องไม่ฟังเพียงประโยคเดียว ต้องฟังทั้งบริบทการพูดตลอดเวลานานเกือบ 1 ชม.
นายธาริต กล่าวอีกว่า ซึ่งความก็สรุปได้ว่า นายจตุพร พูดในเชิงต่อว่าและน้อยใจต่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำประเทศ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯในขณะนั้น โดยนายจตุพรพูดว่า “ผมเรียกร้องและได้ตักเตือนมาโดยตลอดว่า อย่านำหน่วยทหาร 2 หน่วย คือหน่วยรักษาพระองค์ และทหารเสือราชินี มาเข่นฆ่าประชาชนเพราะจะทำให้เกิดการเข้าใจว่า กระสุนที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นยิงประชาชนเป็นกระสุนพระราชทาน” ซึ่งแม้ตนจะตัดตอนคำพูดมาไม่ครบ 1 ชม.ตามที่นายจตุพรพูด แต่ถ้าฟังประโยคอย่างนี้ บริบทของคนที่เข้าใจ จะต่างจากประโยคแรกที่ตนพูด ก็จะพึงเข้าใจได้ทันทีว่า การพูดของนายจตุพร เป็นการพูดในลักษณะต่อว่าและการน้อยเนื้อต่ำใจ ซึ่งพุ่งเป้าไปที่นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ มิใช่เป็นการละเมิดสถาบันแต่อย่างใด การรับฟังพยานหลักฐานจากส่วนนี้มาจากบุคคล 3 กลุ่ม คือนักภาษาศาสตร์ กลุ่มนักสื่อสารมวลชน และกลุ่มคนกลางผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งร่วมฟังการปราศรัยทั้งกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดงนั้น ต่างมีความเห็นไปในแนวทางเดียวกันว่า เมื่อฟังบริบทการพูดทั้งหมด และพยานได้ฟังนายจตุพร พูดในหลายๆ ช่วง ก็เห็นว่านายจตุพร ไม่ได้มุ่งหมายหรือเจตนามุ่งร้ายต่อสถาบัน แต่เป็นการมุ่งหมายหรือมุ่งร้ายที่จะกล่าวโจมตีต่อนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ
   “ผมนำบริบทนี้มาพูด ก็เพื่อเอาตัวเองยืนยันเป็นมาตรฐานว่า การที่ผมพูดอย่างนี้และพูดยาวขนาดนี้ถึง 15 นาที ตนจะกระทำผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ อาจจะมีคนไปกล่าวโทษดำเนินคดีกับตน ที่นำประโยคนี้มาพูด ก็เพื่อเป็นมาตรฐานให้วัดว่า ผมไม่ได้พูดเพียงประโยคเดียว แต่พูดเพื่อบริบททั้งหมดให้เห็นว่า การพิจารณาดำเนินคดีอาญานั้น จะต้องดูเจตนาเป็นสำคัญ ซึ่งเจตนามีหลักว่า ให้ดูจากการกระทำ จึงต้องดูบริบทของการกระทำทั้งปวงที่เกิดขึ้น การที่นายจตุพรกับพวกเรียกร้อง เมื่อวันที่ 10 เมษายน 54 บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไม่ได้เรียกร้องโจมตีสถาบัน แต่เป็นการเรียกร้องต่อรัฐบาลในขณะนั้น ไม่มีมูลเหตุจูงใจหรือบริบทใดๆ ที่มุ่งให้เห็นว่าผู้พูดมุ่งหมายจาบจ้างหรือหมิ่นประมาทต่อสถาบัน ตามมาตรา 112 เลย เช่นเดียวกับที่ผมแถลงข่าวในขณะนี้ และตนนำคำพูดนี้มาพูด ผมก็ไม่มีเจตนาหรือบริบทในการจะมุ่งร้ายต่อสถาบันองค์พระมหากษัตริย์แต่ อย่างใด ผมกำลังชี้แจงเรื่องราวต่างๆ เพราะฉะนั้นเจตนาของตนไม่ใช่เจตนาล่วงละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ ตนคิดว่าถึงเวลาที่ต้องพูดแล้ว และให้ชัดๆ กันไปเลยโดยเอาตนเป็นมาตรฐานวัด ผมไม่รู้สึกหนักใจที่นายสุเทพ ยื่นเรื่องร้อง ป.ป.ช. เพราะการสอบสวนเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างดีเอสไอกับอัยการ โดยดีเอสไอเป็นเพียงผู้ทำความเห็นไม่ใช่ออกคำสั่ง ขณะที่คนออกคำสั่งจริงๆ คือพนักงานสำนักงานอัยการสุงสุด” นายธาริต กล่าว