วิโรจน์ เปาอินทร์: บทสรุปปรองดอง "ทักษิณ" คุย "ป๋าเปรม" ไม่ใช่ทางออก เผยเบื้องลึก "สนธิ" แค่อยากไถ่บาป

มติชน 7 เมษายน 2555 >>>




เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2555 สภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบ 307 เสียง ให้ส่งข้อสังเกตของ กมธ.ปรองดอง ให้ ครม. พิจารณา หลังถกกันนานในที่ประชุมเต็ม 2 วัน
แน่นอนว่าบรรยากาศในการอภิปราย 2 วันเต็ม เป็นไปอย่างดุเดือดเผ็ดมัน
จนฝ่ายค้านอ้างว่า เป็นการปรองดองกำมะลอ รีบใช้เสียงข้างมาก หรือเป็นการปรองดองแบบบังคับเลือก โดยมีการสร้างกระแสตั้งแต่ตั้ง กมธ.ปรองดอง มีการอ้างวิจัยสถาบันพระปกเกล้า แต่พอสถาบันออกแถลงการณ์มา กลับไม่ดำเนินการตามนั้น
ขณะที่อีกฝ่าย ได้เรียกร้องให้พรรคฝ่ายค้านและทุกฝ่ายร่วมกันสร้างความปรองดอง เนื่องจากคนไทยแตกแยก เกิดการเผชิญหน้า
โดยเฉพาะการปฏิวัติเมื่อวันที่ 19 กันยายน ที่ผ่านมา ภายใต้เงื่อนไข และเหตุผลที่ต่างกัน
แม้กระทั่งการเสนอให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกัฐมนตรี พูดคุยกัน เพื่อจะนำมาสู่แนวทางการปรองดอง
และหลายๆ กรณี ที่ถูกหยิบยกมาเป็นเป็นประเด็นในการถกเถียงกัน
ต่อประเด็นข้างต้น พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ (กมธ.ปรองดอง) และกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้า ให้สัมภาษณ์กับ "มติชนออนไลน์" ว่า ญัตติที่สภาฯ มอบให้ กมธ.การปรองดองศึกษาคือ วิธีที่จะสร้างความปรองดองจากความแตกแยกว่า ในขณะนี้บ้านเราจะมีวิธีการอย่างไรที่จะสร้างความปรองดอง หรือความแตกแยกมีสาเหตุมาจากไหน อันนี้คือภารกิจ
ทั้งนี้ การหาสาเหตุนั้น คิดว่า ความแตกแยกในบ้านเราไม่เคยมีมากขนาดนี้ หรือเคยปรากฎแบบนี้มาก่อน ฉะนั้น การหาสาเหตุและวิธีปรองดองเพื่อให้ชาติเดินหน้าคงต้องเป็นเรื่องเร่งด่วน และจากการที่ได้รับฟังจากภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นสภาหอการค้าฯ หรือสภาอุตสาหกรรมฯ ตัวแทนสถาบันเงินทุน ผู้ลงทุนรายใหญ่อย่างเจโทร ประเทศญี่ปุ่น ที่เราเชิญให้มาแสดงความเห็น หรือแม้กระทั่งฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติ ทุกคนล้วนวิตกกังวลทั้งนั้น บ้านเมืองเราหากปล่อยไปก็มีแต่ถอยหลัง เช่นเดียวกับภาคเศรษฐกิจที่บอกว่าไม่ไหวแล้ว
เจโทรของญี่ปุ่น บอกว่า เขากำลังตัดสินใจอยู่ 2 เรื่อง โดยมองว่าจะลงทุนต่อในบ้านเราหรือไม่ ที่อาศัยข้อมูลของเขา 2 เรื่อง เรื่องแรกคือน้ำท่วม หากท่วมอีกครั้งเขาคงอยู่ไม่ได้ เรื่องต่อมาคือเรื่องที่บ้านเราทะเลาะกัน เสื้อสีต่างๆ ที่ออกมาปิดสนามบินก็ดี ปิดถนน แล้วตีกันก็ดี แบบนี้ นักธุรกิจเขารับไม่ได้ เขาทำมาหากิน หากเจอแบบนี้ตลอดก็ลำบาก เมื่อเขาหนี ปัญหาเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร คงไม่ต้องอธิบาย ทางด้านอุตสาหกรรมก็มองว่าเป็นเรื่องด่วน ปล่อยไม่ได้ ด้าน
สังคมก็แย่มาก แล้วเราจะหาวิธีและแก้อย่างไร ความมั่นคงบอกเลยว่าบ้านเราวิกฤติแล้ว

ต่างประเทศใช้เวลาปรองดองหลายสิบปี บ้านเราจะใช้เวลานานเท่าไหร่ ?

ผมคิดว่าเริ่มมาตั้งแต่ปี 48 แล้วนะ นี่ก็เกือบ 10 ปีแล้ว เราจะต้องนึกถึงอนาคตประเทศชาติของลูกหลาน

อีกซัก 10 ปี ไหวหรือไม่ ?

คนไทยเรา พื้นฐานเดิมก็เป็นชาวพุทธ เรายิ้มง่าย อภัยง่าย ชั่วชีวิตผมรับข้าราชการตำรวจ เป็นพนักงานสอบสวน นอกจากจะสอบสวนคนผิดเพื่อนำมาลงโทษแล้ว ก็มีเรื่องอื่นอีกนับไม่ถ้วน ระหว่างผู้ต้องหากับผู้เสียหาย เหล่านี้อยู่ในอำนาจที่เราสามารถไกล่เกลี่ย ประนีประนอม เราก็ทำมานับไม่ถ้วน การไกล่เกลี่ยไม่ใช่การเอาชนะ แต่อยู่ที่การถอยคนละก้าว ผ่อนสั้นผ่อนยาวและอภัยกัน หลักการปรองดองหนีตรงนี้ไม่พ้น ถ้าไม่ยอมถอย เอาให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะให้ได้ หรือต้องแพ้ให้ได้ ก็คงไม่มีทางปรองดองกันได้

คิดว่าสถาบันพระปกเกล้าถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองหรือไม่ ?

ผมเองเป็นกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้าด้วย ต้องยอมรับสถาบันพระปกเกล้าไม่ได้อาสาเข้ามาทำการวิจัยตรงนี้เลย คนหรือหน่วยงานที่อยากให้สถาบันพระปกเกล้าเข้ามาช่วยทำ หรือเข้ามาหาสาเหตุและวิธีการคือ กมธ.ปรองดอง ซึ่งมีทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ก่อนหน้านี้ปรึกษากันว่า จะหาหน่วยงานหรือสถาบันไหนดีที่จะมาช่วยเรื่องปรองดอง เพื่อเอามาประกอบข้อมูล แต่ในความจริงแล้ว เรายังหารายงานอื่นๆ มาใช้ด้วย และมีคนที่มาให้ความเห็นอีกเยอะ เมื่อมีมติเห็นดีเห็นงามทั้งฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล ว่าจะเอาสถาบันพระปกเกล้า เพราะดีกว่าจุฬาฯ ดีกว่าธรรมศาสตร์ ขณะเดียวกันสถาบันพระปกเกล้าเอง ก็ตั้งมาเพื่อทำงานทางวิชาการ การเมืองการปกครอง ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตย และเป็นเครือของรัฐสภา
สุดท้ายแล้วก็คิดว่าสถาบันพระปกเกล้าน่าจะเป็นกลางที่สุด หัวหน้าฝ่ายค้านก็เป็นกรรมการ ประธานสภาฯ ก็เป็นประธานสภาสถาบัน คนของกมธ.ปรองดองก็เข้าไปเป็นกรรมการ ซึ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองทั้งนั้น เมื่อสภาฯ ขอไป สถาบันพระปกเกล้าก็สนอง และคณะผู้วิจัยก็เป็นคนที่มีความรู้ความสามารถ เขาไม่มีเบื้องหลังหรือใครมาบงการ
หากดูรายงานของคณะผู้วิจัย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า (รศ.วุฒิสาร ตันไชย) ที่มาเป็นหัวหน้าคณะ ท่านก็เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ผมคิดว่ารายงานของคณะวิจัยต้องให้ความเป็นธรรม เพราะเขาใช้ความรู้ความสามารถ วิธีการวิจัยเขาทำถูกต้อง ขณะเดียวกันงานวิจัยก็ต้องมีความเห็นอยู่แล้ว ต้องมีข้อเสนอแนะ เมื่อได้สรุปออกมาแบบนี้ ก็อยู่ที่คนนำไปใช้ แต่จะใช้อย่างไร เชื่ออย่างไร ก็อยู่ที่ดุลพินิจของผู้ที่นำไปใช้

ผู้นำฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับการยกเลิก คตส. และการนิรโทษกรรม ?

เรื่องนี้ไม่ใช่เหตุผลเดียว มียังเงื่อนไขต่อมาอีก เช่น ยกเลิกจะมีผลอย่างนี้ ไม่ยกเลิกมีเหตุผลแบบนี้ เขามีทางเลือกให้ เขามีข้อดีข้อเสียให้ด้วย คุณก็เลือกเอา อย่าหยิบจุดใดจุดหนึ่งมาวิจารณ์ ต้องอ่านให้ตลอด ผมอยากให้ความเป็นธรรมและกำลังใจคณะผู้วิจัย เพราะเขาทำด้วยมานะ ตั้งใจจริง อยากเห็นความปรองดองจริง อย่าไปว่าเขา ตอนที่คณะผู้วิจัยมาชี้แจงให้รับทราบรายงานที่ส่งให้ กมธ.ปรองดอง ผมก็ยังให้กำลังใจว่าต้องอดทน พร้อมรับคำวิจารณ์ อย่าไปถือสา เพราะเขาเห็นว่าอันไหนเป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์ เขามีสิทธิ์วิจารณ์

มีบางกลุ่มบอกว่า เป็นการเอื้อให้กับ "ทักษิณ" มองอย่างไร ?

ก็หยิบมาพูดนิดเดียว หรือพูดเฉพาะเรื่องนี้นิดเดียว แต่ยังมีข้อสังเกตหรือข้อเสนอแนะอื่นๆ ทำไมไม่อ่าน ไปตีความเอาเอง

มีคนเสนอให้ล้มล้างคดี คตส. หรือรื้อคดีใหม่ เพื่อคืนความเป็นธรรมทุกฝ่าย ?

ผมว่าพูดเรื่องปัจจุบันหรือเดินไปข้างหน้าดีกว่า ถ้าเอาเรื่องเก่ามาคุยแล้วบอกว่าตรงนั้นดี ตรงนี้ไม่ดี ไม่ใช่ เหมือนการอภิปรายในสภาฯ ใครเคยทำไม่ดีแล้วเอามาพูดกันอีก คุ้ยเบื้องหลังขึ้นมา แบบนี้ก็จะทำให้แตกแยกหรือบานปลายไปกันใหญ่ ผมคิดว่าเรื่องที่แล้วๆ มา ใครทำผิดพลาดอย่างไร ก็ลืมๆ กันบ้าง ถ้าไม่ยอมลืม เอาเรื่องเก่ามาคุยกัน ก็ไม่จบ แต่กลายเป็นการขยายความแตกแยกให้มากกว่าเดิม ถ้าเราจะปรองดองเราต้องลืมบ้าง อย่าฟื้นฝอย

สิ่งที่ กมธ.ปรองดอง ควรระวังหลังจากนี้ เพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยกคืออะไร ?

ความจริงแล้วหากอ่านดูในรายงานเรื่องความปรองดองของ กมธ. ที่มีทั้งข้อสังเกต ข้อเสนอแนะ เราไม่ได้ยึดงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าอย่างเดียว เรามีทั้งรายงานของคอป.ด้วย มีความเห็นของภาคเอกชน หน่วยความมั่นคง พ่อค้า นักธุรกิจ รวมทั้งภาคประชาชน ฉะนั้น ในความหากหลายเรารับฟังความเห็นทุกส่วน มองว่า รายงานของสถาบันพระปกเกล้า เป็นแค่ 1 ใน 10 ส่วน อย่าไปมองว่ารายงานของสถาบันพระปกเกล้าเป็นหัวข้อสำคัญ ไม่ใช่เลย

เมื่อพูดเรื่องความปรองดอง มักจะโยงถึงเรื่องการสลายการชุมนุม-คดีความต่างๆ ?

เราจะปรองดองโดยปล่อยให้อยู่สภาพนี้ไม่ได้ เช่น มีหลายท่านแสดงความคิดเห็นว่าต้องดำเนินคดีให้ถึงที่สุดก่อนซิ ให้เห็นดำเห็นแดงก่อน ใครที่ทำก็ให้ติดคุกไปก่อน แล้วมาพูดเรื่องปรองดอง ตรงนี้คิดว่าไม่มีทาง เพราะคนๆ หนึ่งคดียังคาอยู่ที่ศาล คนหนึ่งยังไม่ได้รับการเยียวยา คนหนึ่งก็ยังอยากจะเหยียบอีกคนหนึ่งให้จมไป เพื่อให้อีกฝ่ายแพ้ไป แบบนี้ไม่มีทางหรอกครับที่จะปรองดอง ถ้าปล่อยสภาพนี้ก็แตกแยกมากขึ้น หรือการที่ความแค้น ความอาฆาต มาอยู่ในใจคนมากขึ้นนั้น ประเทศชาติก็คงไปไม่รอด ผมถึงบอกว่าการที่จะต้องลืมหรือการเยียวยา การอภัยกันนั่นแหละถึงจะนำไปสู่ความปรองดองได้

หลายคนบอกว่าต้องสร้างบรรยกาศก่อน เวลาไหนที่เหมาะกับการสร้างบรรยากาศ ?

"ต้องดูบทเรียน" พล.ต.ท.วิโรจน์ ตอบทันที และบอกว่า บ้านเราไม่ได้มีวิกฤติครั้งนี้เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้มีมาตลอด แต่อาจจะไม่หนักเท่าครั้งนี้ แต่ที่แล้วๆ มา พอถึงเวลาก็อภัยกันได้ จากนั้นก็เรียบร้อย หากดูตามประวัติแล้วการนิรโทษหรือการอภัยไม่ใช่เรื่องใหม่ โดยเฉพาะตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อนิรโทษแล้วก็จบไป ซึ่งยังไงแล้วต้องให้อภัยกัน จะใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ว่ากันไป แต่เร็วได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง ช้าก็จะยิ่งเสียโอกาส

คิดอย่างไรก็ข้อเสนอที่จะให้ "ทักษิณ" คุยกับ "ป๋าเปรม" ? ใครล่ะที่เป็นคนชี้ว่าความขัดแย้งอยู่ตรงนี้ ?

พล.ต.ท.วิโรจน์ ตั้งคำถาม ผมคิดว่าความขัดแย้ง ความเหลื่อมล้ำ และปัญหามีอยู่หลายจุด หลายอย่าง การที่บอกว่า ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ คุยกับ พล.อ.เปรม เป็นคู่ขัดแย้งกันนั้น คงไม่ใช่ ทั้งนี้ มองว่าปัญหามีหลายเรื่องสะสมกันมานานพอสมควร ผมไม่เห็นด้วย ถ้าให้สองคนนี้มาคุยกันแล้วเรื่องจะจบ คงไม่ใช่ เพราะสาเหตุมีมากกว่านี้
ส่วนการที่คุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า บอกว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีความชอบธรรมที่จะออก พ.ร.บ.ปรองดอง ในตอนนี้นั้น ก็ไม่ทราบว่ามีเหตุผลอะไร เพราะการออก พ.ร.บ .เป็นเรื่องของสภาฯ ถูกต้องแล้วที่ไม่เกี่ยวกับพรรค
เมื่อถามว่าในพรรคมีการคุยกันอย่างไร ก็แล้วแต่สภาฯ ไม่มีนโยบายอะไร เพราะอันนี้เป็นเรื่องของสภาฯ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ เอง ตามข่าวก็บอกว่าแล้วแต่สภาฯ รัฐบาลเองก็ยังไม่ได้คิดอะไร

พท. มีการเตรียมร่าง กม.ปรองดอง เอาไว้ 6 มาตรา มีคนเซ็นชื่อแล้ว ?

ไม่เห็นเลย ผมประชุมพรรคทุกสัปดาห์ ก็ไม่เห็นมีใครเอามาให้ดู ผมยืนยันได้เลยว่าไม่เคยเห็นเลย ก็เห็นแต่รองนายกฯ เฉลิม ตามที่เคยเป็นข่าวไป ท่านก็พูดของท่าน ไม่ยากหรอก 6 มาตรา ท่านร่างของท่านไว้แล้ว ท่านก็คงเขียนของท่านเอง แต่ทางพรรคไม่มี

"พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน" ประธานกมธ.ปรองดอง ถูกมองว่าอยู่เบื้องหลังการปฏิวัติ แต่มาเล่นเรื่องปรองดอง ดูแล้วขัดแย้งกัน?

ก็ไม่ขัดแย้งนะ ผมคิดว่าท่านอาจจะมีความคิดของท่าน ท่านอยากจะไถ่บาป (มั้ง) ตอนนั้นท่านอาจจะคิดว่าทำแล้วมีผลข้างเคียงมาจนถึงปัจจุบันนี้ก็ได้ ซึ่งคิดว่าเป็นเหตุหนึ่งแต่ไม่ใช่เหตุเดียว เพราะการปฏิวัตินั้นก็นำมาสู่ความแตกแยก ตรงนี้ท่านอาจจะคิดได้ ท่านอาจจะอยากแก้ตัวก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าการปฏิวัติเป็นสาเหตุหลัก แต่มีหลายสาเหตุ

เทียบกับเหตุการณ์ปฏิวัติ-รปห.ก่อนหน้านี้ กับ 19 กันยา ถือว่ารุนแรงน้อยมาก?

ลึกๆ แล้วความคิดเห็นทางการเมืองที่ยังไม่ลงตัว โดยเฉพาะเรื่องความปรองดอง ผมคิดว่าอันตราย อันตรายกว่าที่จะเปิดเผย อะไรที่แสดงโดยเปิดเผยนั้นเราเห็น แต่อะไรที่อยู่ในความคิดลึกๆ มันอันตราย ต้องเร่งขจัด

แล้วประชาชนควรจะเข้าใจเรื่องความปรองดองอย่างไร?

ผมเองก็ลงพื้นที่ เป็นส.ส.มา 10 ปี เท่าที่สัมผัสกับประชาชน เขาอยากให้มีการปรองดอง ไปที่ไหนก็มีแต่คนถามว่า เมื่อไหร่จะเลิกทะเลาะกัน เมื่อไหร่บ้านเราจะเดินหน้า แต่บรรยากาศในสภาฯ โดยเฉพาะการถกกันเรื่องปรงอดองเท่านั้นเองที่น่ากลัว บุคคลภายนอกเขาก็บอกว่าเมื่อไหร่จะเริ่มต้น เมื่อไหร่สำเร็จ อยากเห็นความสงบสุข ทั้งนี้ ผมได้อธิบายให้ประชาชนได้เข้าใจว่า บรรยากาศในสภาฯ ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่การอภิปรายก็เป็นแบบนี้ เพราะสภาฯ มีไว้พูด พอพูดเสร็จก็มาคุยกันตามปกติ ประชาชนอย่าไปเครียดตาม เพราะบ้านเรายังไม่รุนแรงเหมือนประเทศเกาหลี ไต้หวัน หรือตุรกี ที่ฟัดเหวี่ยงกัน
บ้านเราอย่างมากก็แค่โห่ ล้อมๆ กันนิดหน่อยอย่างที่พล.อ.สนธิ โดน เท่านั้นเอง!!