มารุต บุนนาค: "ศีลธรรมเอาชนะประชานิยมไม่ได้"

ประชาชาติธุรกิจ 19 เมษายน 2555 >>>




เพราะดีกรีของ "มารุต บุนนาค" คือนักฎหมายแถวหน้าของเมืองไทย อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร ประธานตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งองค์กรบริหารสูงสุดด้านงานวิชาการนาม "สถาบันพระปกเกล้า"
เป็นคนการเมือง "เลือดสีฟ้า" ที่ดำรงชีพอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์มาตลอดชีวิต นั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรค ในยุค "ถนัด คอมันตร์"
ก่อนเกิดเหตุการณ์รัฐประหาร 2549 เขาประกาศหันหลังให้การเมือง ด้วยเหตุผลเรื่องอายุและสุขภาพ แต่ยังคงดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)
"ประชาชาติธุรกิจ" สนทนากับ "มารุต" วัย 87 ปี ในวันที่สถาบันพระปกเกล้าถูกลากขึ้นเวทีการเมืองในวันที่ ปชป. ก้าวข้ามวัย 66 ปี

งานวิจัยเรื่องปรองดองของสถาบัน

พระปกเกล้าสำคัญอย่างไร คนระดับ "มารุต" ถึงออกมาวิจารณ์อยากให้นึกถึงการสร้างบ้าน มีสถาปนิกออกแบบแปลนบ้านมาให้ ผู้รับเหมาเอาแปลนแค่บางส่วนไปสร้างบ้าน สุดท้ายบ้านพังสถาปนิกคนนั้นก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย ถ้าหยิบไปแค่บางส่วนบ้านก็พัง แล้วก็วุ่นวาย สถาปนิกก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย สถาบันพระปกเกล้าก็ต้องออกมารับผิดชอบด้วย

ออกมาในนามผู้ก่อตั้งสถาบัน หรือในนามพรรคประชาธิปัตย์

(สวนทันที) มันไม่เกี่ยว ผมพูดในนามผู้ก่อตั้งสถาบัน ถ้าผมจะแถลงในนามพรรค ก็ต้องแถลงที่พรรคและอ้างตำแหน่งพรรค แต่นี่ผมพูดที่โต๊ะผม สำนักงานผม สิ่งนี้มันแสดงออกชัดเจน
ผมเป็นกรรมการสภาที่ปรึกษาพรรค มีท่านชวน (หลีกภัย) เป็นประธาน แต่เราก็ไม่ได้ประชุมกันบ่อย นานๆ ครั้งถึงจะได้คุยกัน และที่สำคัญพรรคก็ไม่ได้มาปรึกษาอะไรผม
โดยเฉพาะเรื่องของสถาบันพระปกเกล้ายิ่งไม่เกี่ยวกัน ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพรรคจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อมีปัญหาสำคัญ ผมอาจจะตั้งข้อสังเกตเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยได้บ้าง ไม่ก็โทรศัพท์หรือส่งจดหมายไปหาหัวหน้าบ้าง แต่ต้องเข้าใจว่ายุคนี้เป็นยุคของคนรุ่นใหม่ ผมมันคนรุ่นเก่าแล้ว (หัวเราะ)

มองในแง่ดีงานวิจัยก็ถือว่าเป็นบันไดขั้นแรกที่พาประเทศไปสู่ความปรองดอง

สิ่งที่สถาบันพระปกเกล้าแนะนำมาดีที่สุดแล้ว แต่ควรยืดเวลาให้มีโอกาสได้ชี้แจงประชาชน มีเวทีเสวนาให้ประชาคมแสดงความเห็นบ้าง เรื่องนี้ไม่ควรรวบรัดเพราะจะเกิดความบาดหมางกัน

เหตุใดรัฐบาลถึงต้องรีบทำให้เสร็จก่อนปิดสมัยประชุมนิติบัญญัติ

ผมวิจารณ์ไม่ได้ พูดมากไปก็เข้าข้างประชาธิปัตย์อีก แต่ถ้ารัฐบาลต้องการความละเอียดรอบคอบก็ควรจะยืดเวลาให้โอกาสทุกฝ่ายได้พูด และถ้าต้องการความเร็วก็ต้องรวบรัด ผมตอบได้แค่นี้
จากนี้ผมต้องระวังตัวหน่อย ต้องเห็นใจผมบ้าง ผมเกษียณไปแล้วก็ต้องทำให้ได้
จริง ๆ พูดมากไปเดี๋ยวจะถูกเด็กเหยียบหัวเอา ผมเลิกเล่นการเมืองมา 6 ปีแล้ว ขออยู่ในความสงบเป็นที่ปรึกษาก็ให้คำปรึกษาบ้าง เห็นด้วยไม่เห็นด้วยบ้างเป็นไปแบบนี้ดีแล้ว

ในสายตาคนเก่าคนแก่ในวงการเมือง มองความขัดแย้งของ ส.ส. ในสภารุนแรงมากขนาดไหน

วันนี้นักการเมืองขาดมิตรไมตรีต่อกัน แม้แต่ในสภายังมีการมุ่งมั่นที่จะต่อสู้กันอย่างมากมาย ไม่มีน้ำใจต่อกัน ไม่เอื้อเฟื้อซึ่งกันและกันอีกแล้ว

การต่อสู้ทางการเมืองในสภา

ผู้แทนราษฎรในอดีตเป็นเหมือนปัจจุบันหรือไม่ สมัยที่ผมเป็นนักศึกษา ได้นั่งดูการอภิปรายไม่ไว้วางใจกัน 7 วัน 7 คืน เป็นศึกระหว่างรัฐบาลพลเรือตรีถวัลย์ (ธำรงนาวาสวัสดิ์) กับนายควง (อภัยวงศ์) พรรคประชาธิปัตย์ที่ตอนนั้นเป็นฝ่ายค้าน เถียงกันในสภา ออกมานายควงยังจุดบุหรี่คุยกับพลเรือตรีถวัลย์อยู่เลย
นั่นคือการมีน้ำใจต่อกัน ต่อให้สู้กันจะเป็นจะตาย แต่ออกจากรัฐสภาทุกคนก็คุยกันแบบเพื่อนได้เหมือนเดิม ไม่เคยคิดจะห้ำหั่นกัน ต้องสู้กันในเกมเหมือนนักมวยต่อยกันจะเป็นจะตาย ออกมาต้องเป็นเพื่อนกัน ถ้าต่อยกันบนเวทีแล้วลงมายังต่อยกันอีกมันก็แย่

สิ่งที่ ปชป. ปฏิบัติมาโดยตลอดคือ การเป็นนักรบในสภา ดำเนินการตามระบอบประชาธิปไตย แต่ทำไมพรรคถึงไม่ได้รับความนิยมในสังคม

เรารู้กันอยู่ว่า ถ้าอยากจะเป็นรัฐบาลต้องมีเสียงข้างมาก ต้องวางแผนเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ ต้องเอาชนะภาคอีสานของฝ่ายตรงข้ามให้ได้ มันต้องมียุทธศาสตร์ในการวางแผนที่ดี แต่ผมพูดไปก็ไม่เหมาะ มันต้องให้คนในพรรคพูด การแก้ไขในภาคอีสานมันยาก ในอดีตเราเคยได้เกือบ 30 คน วันนี้ถ้าเอาชนะเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ต้องทำให้ได้สัก 50 คนในภาคอีสานถึงจะเหมาะ

แสดงว่าพรรคต้องการเอาชนะในภาคอีสานมากว่า 30 ปี เหตุใดถึงยังไม่ประสบความสำเร็จ

พูดง่าย ๆ ว่าเราขาดขุนพล เรามีขุนพลภาคอีสานน้อยเกินไป เมื่อก่อนเคยมี แต่ตอนนี้ก็ชรามาก คำว่าขุนพล ผมหมายความว่า ไม่ได้เก่งแต่ในจังหวัดของตัวเองอย่างเดียว แต่มันต้องออกตระเวนไปได้ทั่วหมด ทั้งอีสานเหนือ อีสานใต้

เหตุที่ ปชป. ไม่ได้รับความนิยม เพราะสังคมตอนนี้ไม่ต้องการพรรคที่เดินตามตรอกประชาธิปไตย

เราแพ้ประชานิยม ประชาชนที่ยากจนต้องการสิ่งที่เป็นรูปธรรม ถ้าจะไปพูดถึงนามธรรม ศีลธรรมคงจะเอาชนะไม่ได้ มันไม่เหมือนสมัยก่อน หากมีคนไปปราศรัย พูดเรื่องเสรีภาพ ความทุกข์ยากของประชาชน ไม่เคยมีของแจก คนฟังเป็นหมื่น เดี๋ยวนี้ทำไม่ได้ ต่อให้พูดดีอย่างไรก็ต้องมีของแจก
ตอนผมเป็นเลขาธิการพรรคไปช่วยหาเสียงภาคอีสานก็มีคนมาฟังเยอะ แต่พอลงมาจากเวทีชาวบ้านเดินมาหาผมบอกว่า ท่านพูดดีนะ น่าฟังมาก แต่ว่าวันนี้มีของแจกไหม (หัวเราะ) หลายอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว

คนรุ่นก่อนจะตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองในดวงใจจากอะไรบ้าง

ก็ต้องยอมรับว่า เก่งแต่ในสภาไม่พอ แต่ต้องมีความใกล้ชิดกับประชาชนด้วย สมัยที่ผมลงไปเยี่ยมชาวบ้าน จัดหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ลงไปช่วยชาวบ้านทุกเสาร์-อาทิตย์ ผมลงไปขลุกกับชาวบ้าน เขาเอาหมามาช่วยฉีดยาก็ไปช่วยจับหมา จนตอนนั้นคนเข้าใจผิดเรียกผมว่าหมอมารุตเหมือนกัน (หัวเราะ)

แสดงว่าพฤติกรรมของ ส.ส. ปัจจุบันเปลี่ยนไป

มันอยู่ที่คนครับ ไม่ใช่แค่ประชาธิปัตย์อย่างเดียว แต่เป็นเกือบทุกพรรค เวลาเลือกตั้งก็ลงไปไหว้ประชาชนแล้วหายไปเลย จะกลับมาอีกครั้งก็จวนจะเลือกตั้ง จวนจะยุบสภา เป็นรัฐมนตรีก็ใครเข้าพบไม่ได้ติดประชุม ต่อให้พบแล้วก็จำไม่ได้ ขนาดผมโทรศัพท์ไปหารัฐมนตรีพรรคผมบางคน เขายังไม่ว่างบอกว่าติดประชุมอีก 7 วันกว่าจะติดต่อกลับ แหม...มันไม่ได้ยุ่งขนาดนั้นหรอก ผมเป็นรัฐมนตรีมาก่อนก็รู้เวลาประชุม อย่ามาโกหกผม (หัวเราะ)

ประเมินการเป็นหัวหน้าพรรคของคุณอภิสิทธิ์ (เวชชาชีวะ) อย่างไรบ้าง

ดีซิครับ ก็ผมเป็นคนเสนอเขาให้เป็นหัวหน้าพรรคเองจะไม่ดีได้อย่างไร (หัวเราะ) เขาเป็นคนหนุ่ม เป็นคนเก่ง คิดไว และมีความสามารถในการอภิปรายได้ทุกกรณี เขาไม่เคยเสียดสีมีแต่ชอบพูดเปรียบเปรย

ทำไมถึงตัดสินใจเลือกคุณอภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคในขณะนั้น

ก็มันถึงยุคคนหนุ่มแล้ว พวกรุ่นใหญ่มันอาวุโสเกินไปทั้งนั้น อายุ 70 กว่ากันหมด ตอนที่เสนอชื่อก็ไม่มีแคนดิเดตนะ ที่สำคัญ ปชป. ไม่เคยแข่งกันเอง จะมีแข่งกันก็แค่ไม่กี่ครั้ง ครั้งแรกเป็นการแข่งกันของคุณถนัด (คอมันตร์) คุณอุทัย (พิมพ์ใจชน) และคุณชวน ผลสุดท้ายนับคะแนนแล้วคุณถนัดได้ที่ 1 คุณชวนที่ 2 และคุณอุทัยได้ที่ 3 เลยลาออกจากพรรคไปเลย
ครั้งที่ 2 ก็คุณเฉลิมพันธ์ (ศรีวิกรม์) แข่งกับคุณพิชัย (รัตตกุล) และครั้งที่ 3 ปี 2534 เป็นไฟต์บังคับระหว่างผมกับคุณชวน ตอนนั้นผมเป็นอดีตเลขาฯให้คุณถนัด มีบารมีจากสาขาพรรคเยอะ แต่ผมไม่อยากเป็น จำได้ว่าวันที่เลือกตั้งที่โรงแรมริเวอร์ไซต์ ผมก็โดดประชุมตอนเช้า หนีไปแอบอยู่ที่บ้านจนเขาต้องมาตามให้ฟังผลนับคะแนนตอนบ่าย สุดท้ายผมแพ้คุณชวน 7 คะแนน ผมเลยโล่งใจ

ปชป. ในอดีตต่างกับปัจจุบันอย่างไร

(เงียบไปพักใหญ่) ยุคนั้นผู้ใหญ่มีโอกาสแสดงความคิดเห็นได้มากหน่อย แต่ยุคนี้เป็นรุ่นคนหนุ่มก็ต้องเป็นหน้าที่ของเขา เพราะว่ามันเป็นยุคโลกาภิวัตน์ ทุกอย่างในโลกมีแต่คนหนุ่ม ทำให้คนต้องการคนหนุ่มที่มีความว่องไวรวดเร็ว ตอนนี้ถ้าจะเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคก็ไม่มีแล้ว
หากจะมีใกล้เคียงต่อจากนี้ก็มีคุณกรณ์ (จาติกวณิช) คุณอภิรักษ์ (โกษะโยธิน)

ที่ผ่านมา ปชป. โดนกล่าวหาเรื่องดีแต่พูด ดีแต่ด่า จนประชาชนเอือมระอาว่าชอบพูดไม่มีสาระ

ผมว่ามันมีวิธีพูด ไม่ต้องด่าแต่เปรียบเทียบเอาก็ได้ ยกตัวอย่างสมัยท่านทักษิณ (ชินวัตร) ตอนนั้นท่านชวน มอบหมายให้ผมอภิปรายเรื่องการออก พ.ร.ก.ภาวะฉุกเฉิน ผมก็พูดว่า "ท่านนายกรัฐมนตรีครับ เมื่อจับคนร้ายได้ ไม่ต้องส่งศาล มันก็กลั่นแกล้งกันได้ ท่านคิดดูว่าท่านมาจากการเลือกตั้ง การอ้างว่าประชาชนเลือกท่านมา 10 กว่าล้านคน แสดงว่าท่านเป็นนักประชาธิปไตย แต่ถ้าออกกฎหมายนี้มันเหมาะกับพวกเผด็จการ เหมาะกับรัฐบาลทหาร ถ้าท่านทำอย่างนี้ผมไม่อยากให้ท่านซึ่งเป็นที่รักของผมถูกกล่าวหาว่าเป็นรัฐบาลเผด็จการ"

หลายคนวิเคราะห์ว่า ปชป. ต้องการมวลชน ต้องการผู้สนับสนุนพรรคที่เป็นมากกว่าโหวตเตอร์

(สวนทันที) ต้องยอมรับสมัยที่ผมเป็นเลขาฯพรรค มันใช้เงินไม่เท่าไร ก็พออยู่กันได้ สมัยนี้มันต้องใช้เงินเยอะจริง ๆ

วันนี้ ปชป. ไม่มีปัญหาเรื่องทุน อะไรบ้างที่จะทำให้ไม่ได้เป็นรัฐบาล

ก็ไม่มีเสียงข้างมาก ที่ผ่านมาเราเคยมีเสียงข้างมากหนเดียวสมัยท่าน ม.ร.ว.เสนีย์ (ปราโมช) ปี 2519 หลังจากนั้นเราก็แพ้ภาคอีสาน (เสียงดัง) ไม่อย่างนั้นไม่มีทางชนะ ยิ่งตอนนี้ยิ่งยากมาก แต่เราก็จำเป็นที่ต้องสร้างขุนพลภาคอีสาน ขุนพลที่มีความเข้มแข็ง ไม่ใช่คนที่เป็นแค่ในนาม วันนี้ขุนพลบางคนชรามากแล้ว ต้องบอกว่าคนรุ่นเก่าอย่าไปกีดกันคนรุ่นใหม่ต้องปล่อยให้เขาเกิดใหม่ได้แล้ว

พรรคก็มีนักการเมืองที่มีฝีมือเยอะ ทำไมถึงหาขุนพลภาคอีสานไม่ได้

เอาอย่างนี้ดีกว่า ปชป. คือโรงเรียนการเมือง นักการเมืองที่ดัง ๆ ทั้งหลายมาจากที่นี่ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นคุณเฉลิม (อยู่บำรุง) คุณสมัคร (สุนทรเวช) แม้แต่อาจารย์หม่อมคึกฤทธิ์ (ปราโมช) คนเหล่านั้นเป็น ปชป.เก่า ด้วยกันทั้งนั้น แต่ที่ทุกคนออกไปจากพรรคกันหมด เพราะหลายคนไม่ได้เป็นใหญ่หรือแพ้การเลือกตั้งก็หนีไปกัน มีแต่นายมารุตที่แพ้ท่านชวนแล้วยังอยู่ต่อให้ไล่ก็ไม่ไป (หัวเราะ)

66 ปีของพรรคมักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือของอำมาตย์มาโดยตลอด

แต่ผมไม่เห็นว่าเป็นอย่างนั้น แล้วแต่คนจะมองอาจจะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวเหมือน พล.อ.เปรม (ติณสูลานนท์) เป็นนายกรัฐมนตรี พวกเราก็เคยเป็นรัฐมนตรีให้ท่านหลายคน ก็เลยมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พวกเราเลยได้ไปพบปะท่านที่บ้านบ้าง แต่ผมก็ไม่ค่อยได้ไปนะ พวกทางใต้นะไปกันเยอะ

อีกหนึ่งข้อกล่าวหาคือ ปชป. จะได้ดีก็ต่อเมื่อต้องเกิดรัฐประหารหรือเหตุการณ์พิเศษเสียก่อน

มันก็แล้วแต่การดำเนินนโยบายของแต่ละพรรค แต่เรื่องนี้ว่าไปก็มีคนเห็นด้วยเยอะนะ อย่างตอนที่เราเอาพวกงูเห่ามาจากพรรคคุณสมัคร ก็มีการนั่งประชุมผู้ใหญ่ในพรรคกัน ผมบอกว่าวิธีการอย่างนี้มันไม่ใช่ประชาธิปไตยนะ อยากให้ทุกคนคิดให้ดี แต่คุณสนั่น (ขจรประศาสน์) กับคุณชวนก็บอกว่า "ประชาชนเขาเรียกร้องเราให้เข้าไปแก้ปัญหา เราต้องอาศัยมืออาชีพ"

ท่านมองว่าวิธีเหล่านี้ไม่ใช่วิธีของประชาธิปไตย

มันอยู่ที่เลขาฯพรรคในแต่ละยุค ผมว่าแต่ละคนก็มีเหตุผล ไม่ว่าจะเป็นคุณสนั่น (ขจรประศาสน์) หรือคุณสุเทพ (เทือกสุบรรณ) นานมาแล้วมีคนเคยบอกกับผมว่า "เราจะถือแต่อุดมการณ์หลักการมันก็แห้งตาย สมาชิกพรรคต้องการให้เป็นรัฐบาลจะได้ทำงานให้เต็มที่ เพราะจะช่วยเหลือประชาชนได้ง่าย ถ้ามัวแต่ยึดอุดมการณ์อย่างที่ว่า ส.ส. เฉาตาย ดังนั้นผมเป็นเลขาฯผมต้องทำทุกวิถีทางให้เป็นรัฐบาล"