สุจิตต์ วงษ์เทศ: สงกรานต์ในลาวและเขมร ผ่อนคลายความตึงเครียดให้ไทย

มติชน 20 เมษายน 2555 >>>




สงกรานต์ เป็นเทศกาลการปลดปล่อย ให้ละเมิดข้อห้ามตามประเพณีได้โดยไม่ถือสาเป็นความผิด เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดที่มีมาตลอดทั้งปี แต่ต้องไม่ส่งผลร้ายให้ตัวเองและคนอื่นบาดเจ็บล้มตาย
การผ่อนคลายความตึงเครียดครั้งสำคัญของไทยที่เพิ่งผ่านไปหยกๆ ได้จากกิจกรรมสงกรานต์ในดินแดนลาวและกัมพูชา ผู้นำลาวและผู้นำกัมพูชาอนุญาตให้อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร รับพิธีบายสีสู่ขวัญและรดน้ำจากกลุ่มชนคนเสื้อแดง และเครือญาติสนิทมิตรสหายที่เคารพนับถือ เนื่องในสงกรานต์ที่ผ่านมา
บายสี เป็นคำเขมร (บาย แปลว่า ข้าว, สี แปลว่า ผู้หญิง กร่อนจาก สตรี) จึงไม่เขียน บายศรี เพราะเข้าใจผิดว่ามาจากคำสันสกฤต
บายสีสู่ขวัญและรดน้ำ เป็นพิธีกรรมทางศาสนาผีตั้งแต่ 3,000 ปีมาแล้วของคนพื้นเมืองดั้งเดิมดึกดำบรรพ์สุวรรณภูมิในอุษาคเนย์ แต่สมัยหลังเมื่อมีรัฐแล้วก็ปรับให้เข้ากับพิธีกรรมใหม่ในศาสนาพราหมณ์เรียกสงกรานต์ที่รับจากอินเดีย แล้วแพร่หลายในทุกรัฐจารีตโบราณ ตั้งแต่รัฐกัมพูชา, รัฐล้านช้าง, และรัฐโบราณในไทย
คุณทักษิณใช้พิธีกรรมโบราณเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองปัจจุบัน ทั้งเพื่อตัวเองและพวกพรรค กับทั้งเพื่อสังคมไทยในประชาคมอาเซียนที่จะมีในอีกไม่นาน (แต่มีอย่างไม่เป็นทางการแล้ว)
การเดินทางจากไทยไปลาวและกัมพูชาของผู้เลื่อมใสคุณทักษิณซึ่งมีจำนวนมากทั้งขาเข้าและขาออก ล้วนเป็นไปโดยไม่มีปัญหาขัดแย้ง นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์
เพราะเคยขัดแย้งรุนแรงต่อกันมาก่อน เช่น สงกรานต์ปีที่แล้วเพิ่งยกไพร่พลรณรงค์ทำสงครามย่อยๆ กันตามชายแดนด้านติดกัมพูชา เหตุจากรัฐบาลก่อนๆ ก้าวร้าวเพื่อนบ้านโดยรอบจนไม่เป็นปกติสุข
พื้นฐานทางสังคมวัฒนธรรมของบ้านเมืองในอุษาคเนย์ โดยเฉพาะบริเวณสุวรรณภูมิ ล้วนเป็นเครือญาติกัน ส่งผลให้เศรษฐกิจการเมืองเชื่อมโยงเป็นเครือญาติกันด้วย ซึ่งแม้กระทบกระทั่งกันบ้างเป็นปกติวิสัย แต่ปรองดองกันได้ด้วยความสัมพันธ์เชิงเครือญาติ
งานบายสีสู่ขวัญและรดน้ำคุณทักษิณ เท่ากับเริ่มพลิกฟื้นคืนความเป็นเครือญาติในสุวรรณภูมิให้มีความหมายได้อีก
อย่างน้อยสำนึกเครือญาติก็เริ่มมีขึ้นจริงๆ ในหมู่ผู้เดินทางข้ามพรมแดนครั้งนี้ รวมถึงคนที่ดูถ่ายทอดสดโทรทัศน์ด้วย ซึ่งมีมากแน่ๆ แต่ประมาณไม่ได้
แล้วจะส่งผลอาฟเตอร์ช็อกให้มีขึ้นในสังคมไทย เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดอันเกิดจากรัฐบาลคลั่งชาติชุดก่อนๆ
กระทรวงการต่างประเทศ เคยมีคณะกรรมการสมาคมวัฒนธรรมไทย-กัมพูชา เพื่อสานความสัมพันธ์ให้ราบรื่น โดยมีงานชำระประวัติศาสตร์ไทย-กัมพูชา รวมอยู่ด้วยงานหนึ่ง แต่วิธีทำเป็นอำมาตย์มากไป เลยไม่ได้ผลเท่าที่ควร ทั้งๆ เป็นงานสำคัญมากๆ
งานสำคัญอย่างนี้จะดีมากๆ ถ้ากระทรวงวัฒนธรรม เก่งและฉลาดอย่างร่วมสมัย รู้จักใช้หลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีและศิลปวัฒนธรรมสนับสนุนนโยบายผูกไมตรีเพื่อนบ้านแบบเครือญาติ