
การสั่งเลื่อนการพิจารณาวาระ 2 การแก้ไขมาตรา 291 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ออกไปจากกำหนดเดิมที่พรรคฝ่ายรัฐบาลตั้งเป้าให้แล้วเสร็จในวันที่ 10-11 เมษายน เลื่อนออกไปประชุมในวันที่ 18-19 เมษายน
ทำให้ปฏิทินการร่างรัฐธรรมนูญของพรรคเพื่อไทยต้องขยับออกไป
ทั้งนี้ตามปฏิทินเดิมพรรคเพื่อไทยคาดว่าการพิจารณาร่างแก้ไขมาตรา 291 รัฐธรรมนูญ จะเสร็จสิ้นภายในวันที่ 18 เมษายน จึงขอขยายเวลาการเปิดการประชุมสภาสมัยนิติบัญญัติถึงวันที่ 18 เมษายน
หากแต่มีกระแสข่าวรายงานว่า มีการคำนวณวันเวลาผิดพลาด โดยไม่ได้คำนวณระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้ทิ้งระยะเวลาการพิจารณาวาระ 2 กับวาระ 3 เป็นเวลา 15 วัน
ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องทำเรื่องขอขยายระยะเวลาการประชุมสภาสมัยนิติบัญญัติออกไปอีก
ทั้งนี้ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายตอนหนึ่งว่า ขณะนี้มีสูตร 15+20+40+15 คือ 15 วันแรกประกาศวันเลือกตั้ง ส.ส.ร. อีก 20 วัน รับสมัคร ส.ส.ร. อีก 40 วัน เลือกตั้ง ส.ส.ร. และอีก 15 วัน คือให้รับรอง ส.ส.ร. รวมแล้วเพียง 90 วัน
นพ.วรงค์ถามว่า ฝ่ายรัฐบาลจะเร่งรีบไปถึงไหน
คำถามของ นพ.วรงค์ สะท้อนถึงการขับเคลื่อนของพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวกับการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในภาพรวม
จึงไม่แปลกที่ตลอดการพิจารณาร่างแก้ไขมาตรา 291 รัฐธรรมนูญ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์จะท้วงติงและเสนอแนะให้ประธานในที่ประชุมเลื่อนการประชุม และพักการประชุมอยู่ตลอดเวลา
และไม่แปลกที่แม้ร่างแก้ไขมาตรา 291 รัฐธรรมนูญ จะมีเพียง 5 มาตรา แต่กว่าจะก้าวพ้นแต่ละมาตรานั้น....ยาก
พรรคประชาธิปัตย์เปิดฉากแปรญัตติตั้งแต่มาตรา 1 และตั้งข้อสังเกตละเอียดยิบ จนบรรยากาศการพิจารณาเดือดปุดๆ
วันแรก วันที่ 10 เมษายน ประธานที่ประชุมต้องสั่งพักการประชุม 2 หน ผลการพิจารณาจาก 5 มาตรา สามารถพิจารณาไปได้ 3 มาตรา ใช้เวลาพิจารณา 15 ชั่วโมง
การพิจารณาในวันที่สอง วันที่ 11 เมษายน เข้าสู่เนื้อหามาตรา 4 ของการแก้ไข พูดกันตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น....เกิดแผ่นดินไหวที่เกาะสุมาตรา อินโดนีเซีย วัดความแรงได้ 8.6 ริกเตอร์
แรงสั่นสะเทือนสะท้านถึงจังหวัดอันดามันทางภาคใต้ และเขย่าถึงกรุงเทพมหานครด้วย
เป็นเหตุให้มีการเสนอให้เลื่อนการประชุมอีกครั้ง และดูเหมือนครั้งนี้ทุกฝ่ายจะเห็นชอบ เลื่อนการประชุมไปประชุมอีกครั้งในวันที่ 18 เมษายน
การเลื่อนการประชุมออกไปทำให้ต้องพิจารณาโหวตร่างแก้ไขมาตรา 291 รัฐธรรมนูญในวาระ 3 ช่วงเดือนพฤษภาคม โดยเบื้องต้นมีนัดหมายวันที่ 8 พฤษภาคมเอาไว้
ทำให้กำหนดการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ การแต่งตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ และการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เลื่อนออกไป
นี่ยังไม่รวมถึงการตั้งท่าจะยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความการแก้ไขมาตรา 291 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 ที่มีผู้สงสัยว่าจะกระทำมิได้ หรือไม่ก็มีขั้นตอนกระบวนการที่ขัดต่อกฎหมาย
ทุกๆ การดำเนินการย่อมส่งผลกระทบต่อระยะเวลาการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ทั้งสิ้น
จนถึงบัดนี้คาดหมายกันว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่กว่าจะคลอดออกมาได้ เร็วที่สุดก็ล่วงเข้าปี 2556 ไปแล้ว
ทั้งนี้ ตามหมวด 16 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กำหนดให้มีการเลือกตั้ง ส.ส.ร.ภายใน 75 วัน หลังจากแก้ไขมาตรา 291 แล้ว จากนั้น กกต.ประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอีก 15 วัน
รวมกระบวนการตั้ง ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด 90 วัน ประมาณเดือนสิงหาคม
จากนั้นต้องมีการเปิดประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรกภายใน 30 วันนับจากวันเลือกตั้ง หรือภายในเดือนกันยายนเพื่อเลือกประธานและรองประธาน ส.ส.ร.
เมื่อมีการประชุมสภาร่างรัฐธรรมนูญครั้งแรกแล้ว ต้องใช้เวลายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใน 240 วันหรือภายในเดือนพฤษภาคม 2556
เมื่อได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ประธานรัฐสภาต้องส่งร่างรัฐธรรมนูญให้ กกต.ภายใน 7 วัน เพื่อให้จัดการออกเสียงประชามติอีกภายใน 45-60 วัน
เมื่อร่างรัฐธรรมนูญผ่านความเห็นชอบจากประชาชนจึงทูลเกล้าฯ
คาดว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่สามารถบังคับใช้ได้เร็วที่สุดก็ภายในเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2556
รวมระยะเวลาทั้งหมด 1 ปี 3 เดือน หลังจากรัฐสภาผ่านความเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมวาระที่สาม
นี่คือเครื่องยืนยันว่า ในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครองนั้น จำเป็นต้องใช้เวลาสำหรับการขับเคลื่อนเรื่องที่สำคัญ
ยิ่งเรื่องสำคัญอย่างรัฐธรรมนูญ กฎหมายสูงสุดของประเทศ ยิ่งต้องให้เวลาทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่
แม้ภาพการเมืองในแนวรบ "รัฐธรรมนูญ" พรรคประชาธิปัตย์จะโน้มเอียงไปในแนวทางยื้อ ขณะที่พรรค
เพื่อไทยหนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างสุดตัว
แต่ทุกอย่างก็ขับเคลื่อนต่อไปตามกติกาประชาธิปไตย พูดคุย-เจรจา-ตอบโต้ด้วยเหตุผล และตัดสินกันตามกฎเกณฑ์กติกา
ไม่รวบรัดหักคอแบบการปกครองในระบอบเผด็จการอำนาจนิยม
นี่คือวิถีทางตามการปกครองแบบประชาธิปไตย
ที่ต้องการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม
