แนะ "แม้ว" วิธีกลับแบบเท่ๆ

ข่าวสด 17 เมษายน 2555 >>>


พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวทุกเวทีระหว่างเดินสายเล่นน้ำสงกรานต์ในประเทศลาวและกัมพูชา ซึ่งเปิดโอกาสให้กลุ่มคนเสื้อแดง รวมถึงบรรดารัฐมนตรี ส.ส. และแกนนำพรรคเพื่อไทย เข้ารดน้ำดำหัวตลอดการเดินทาง
ระบุว่าจะขอกลับเมืองไทยอย่างเท่ๆ กลับมาในมาดพระเอก ไม่ใช่ผู้ร้ายในละครทีวี
นักวิชาการและผู้คลุกคลีวงการเมือง ส่งคำแนะนำไปถึงอดีตนายกฯ ถึงรูปแบบการกลับเมืองไทยอย่างเท่ที่สุดไว้ดังนี้

ทวี สุรฤทธิกุล
ประธานสาขารัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช

วิธีเดียวที่จะทำให้ พ.ต.ท. ทักษิณกลับมาประเทศไทยได้ คงต้องอาศัยรัฐ บาลในการออก พ.ร.บ.ปรองดอง ตามข้อเสนอของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ คาดว่าอย่างเร็วสุดใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5-6 เดือน
แต่ถ้าออกเป็นกฎหมายนิรโทษกรรม โดยการแก้รัฐธรรมนูญอาจต้องใช้เวลานาน ซึ่งต้องแปรญัตติในการประชุมสภาวาระ 2 ก่อนเข้าสู่วาระ 3 หากผ่านถึงจะประกาศใช้กฎหมายในเดือน พ.ค. 2556 ขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะเลือกแนวทางใด
ช่วงที่อยู่ในขั้นตอนออกกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่เข้ามาแน่เพราะติดปัญหาเรื่องคดีความ เป็นภาระและอันตรายต่อรัฐบาล พรรคเพื่อไทยต้องเจอกระแสต่อต้าน เกิดการกล่าวร้ายกล่าวโทษจนถูกมองในแง่ร้าย
พ.ต.ท.ทักษิณ คงทราบดี อยากพยุงให้รัฐบาลอยู่ได้ยาวนาน จึงนำนักกฎหมายหรือคนของตนเองเข้าไปอยู่ในโครงการต่างๆ เพื่อให้มีการแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ รวมถึงเรื่องคดีความให้เรียบร้อยก่อน
แต่หากกลับเข้ามาแล้ว คงต้องอยู่ท่ามกลางศัตรูที่หนักกว่าเดิม คงไม่สามารถจะอยู่ได้ถาวร เนื่องจากกลัวอันตราย ทั้งเรื่องของความปลอดภัยและกระแสการต่อต้าน
ตอนเข้ามากราบแผ่นดินไทยเมื่อครั้งก่อน ยังไม่มีการรักษาความปลอดภัยมากนัก แต่ภายหลังจัดชุดคุ้มครองป้องกันอย่างแน่นหนา โดยเฉพาะตอนเดินทางไปลาวและกัมพูชา ซึ่งผิดวิสัยคนเดินทางโดยปกติ
ถ้าอยากอยู่เมืองไทยนานๆ พ.ต.ท.ทักษิณ อาจต้องทำตัวเป็นเศรษฐีใจบุญ ช่วยงานการกุศล สร้างความรักความสามัคคีให้คนยอมรับได้ ที่สำคัญต้องได้รับบารมีคุ้มครองจากผู้มีอำนาจ ซึ่งอาจตีความได้หลายกลุ่ม
แต่เข้าใจว่าคงอยากพึ่งพระบารมีมากกว่า เนื่องจากไม่ไว้วางใจกลุ่มอื่น ช่วงนี้พ.ต.ท.ทักษิณ จึงต้องรอให้รัฐบาลควบคุมสถานการณ์ให้คลี่คลายก่อนจึงจะกลับมาได้

บุญจง วงศ์ไตรรัตน์
รองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย

การกลับแบบเท่ๆ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม รับโทษตามกฎหมายอย่างถูกต้องแล้วจะต่อสู้คดีอย่างไรก็ว่าไปตามขั้นตอน ให้อยู่ในขอบเขตกฎหมาย
การดำเนินการรูปแบบนี้ถือเป็นแบบแผนของผู้นำที่ดี เป็นวิธีที่สังคมยอมรับได้ ไม่ใช่ใช้เสียงส่วนมากในสภาออกกฎหมายให้พ้นผิด หรือหาวิธีนิรโทษกรรมโดยที่ยังไม่ได้รับโทษ ซึ่งถือเป็นการยกเลิกคำพิพากษาของศาลสูงสุด
หากทำเช่นนั้นจะนำไปสู่ประเด็นความขัดแย้งรอบใหม่ สังคมบางกลุ่มยังคงจับตาว่าเสียงส่วนใหญ่ในสภากำลังจะดำเนินการโดยใช้วิธีใด เพื่อให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งพ้นผิดและทำเพื่อประโยชน์แค่บุคคลคนเดียวเท่านั้น
เหตุการณ์ในไทย 2-3 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าการรวมตัวชุมชนประท้วงหรือการสลายการชุมนุม ซึ่งมีทั้งผู้ต้องหาและจำเลย หากมีการนิรโทษกรรมก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องเป็นคดีที่ยังไม่สิ้นสุดอยู่ในขั้นตอนการตัดสินของศาล
คดีไหนที่สิ้นสุดแล้ว เช่น คดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ศาลฎีกามีบทลงโทษให้จำคุก 2 ปี ก็ควรได้รับการลงโทษตามกฎหมายเสียก่อน หากจะขออภัยโทษก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ไม่ใช่ให้นิรโทษกรรมไปหมดทุกคดีความ
พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเมื่อไรก็ได้ ไม่มีใครห้าม แต่เมื่อเข้ามาแล้วจะทำอย่างไรให้เกิดความสงบเรียบร้อย ดีที่สุดคือรับโทษก่อน เพื่อให้ประชาชนเข้าใจว่ากฎหมายบ้านเมืองเป็นอย่างไร ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย
หากเป็นแบบนี้ทุกอย่างก็จบลงด้วยดี

พวงทอง ภวัครพันธุ์
อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ

ในมุม พ.ต.ท.ทักษิณ คงกลับมาในแบบคดีความที่มีอยู่ถูกระงับลงชั่วคราว ไม่มีตำรวจไปยืนรอจับกุม และมาพร้อมกับเสรีภาพที่จะสามารถทำอะไรก็ได้
อาจหมายถึงการกลับมาจากการปรองดองที่หลายฝ่ายดำเนินการอยู่ ทั้งปรองดองเบื้องหน้าและเบื้องหลัง ซึ่งน่าจะเป็นไปตามผลวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า การที่คดีเป็นโมฆะหรือเริ่มพิจารณาคดีใหม่ คดีเก่าก็สูญเปล่าไป
ส่วนจะกลับมาในปีนี้ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับการเจรจาว่าไปถึงไหนแล้ว ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง
สำหรับดิฉัน การกลับแบบเท่ๆ เป็นการอาศัยการเจรจาใน พ.ร.บ.ปรองดอง ที่ดำเนินการกันอยู่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะเดินทางกลับมาได้โดยที่ไม่ต้องถูกจับ หรือชดใช้โทษที่ถูกตัดสินไป
กรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาท้าทายให้นิรโทษกรรมคนทุกคน ยกเว้นตัวเอง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ก่อนอื่นประเด็นนี้ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วนคือ
1.กรณี พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคดีที่สิ้นสุดแล้ว จะให้นิรโทษกรรมไม่ได้ ต้องได้รับโทษตามกฎหมาย
2.กรณีของนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพ เป็นปัญหาที่มาจากการสลายการชุมนุมทางการเมืองปี 2553 ต้องมีการฟ้องร้องต่อไป จะเอามาแลกกันไม่ได้ เพราะเป็นวาระที่ต่างกัน นายอภิสิทธิ์พูดจนเกิดความสับสนกันไปหมด
เปรียบเทียบกันทั้ง 2 กรณีมีความเสียหายที่ต่างกัน ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่เสียหายคือรัฐ และฝ่ายนายอภิสิทธิ์ คนที่เสียหายคือประชาชน โดยเฉพาะผู้ที่สูญเสียญาติหรือครอบครัว
ซึ่งต้องถามประชาชนส่วนใหญ่ว่าเขายอมแลกด้วยมั้ย